แม้ตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปของไทยจะติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แต่ ดร.ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย Business Risk and Macro Research ธนาคารกรุงไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “ฐานทอล์ค” ช่องเนชั่นทีวี 22 ยืนยันว่า ประเทศไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะ “เงินฝืด” หรือ Deflation ทั้งระบบ
แต่การที่ภาวะเงินเฟ้อที่อยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย 1-3% ต่อเนื่อง เป็นสัญญาณเตือนถึง “การหดตัวของกำลังซื้อ” ในประเทศ ซึ่งหากปล่อยไว้นาน อาจกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม ขณะที่ “เงินเฟ้อพื้นฐาน” (Core Inflation) ซึ่งสะท้อนการบริโภคในประเทศและครอบคลุมสินค้าราว 60-70% ของตะกร้า ยังเป็นบวกอยู่ที่ประมาณ 0.9% ทำให้ไทย “ยังไม่เงินฝืดทั้งกระดาน”
เมื่อพิจารณาปัจจัยสำคัญที่ฉุดเงินเฟ้อไทยให้ติดลบ มาจากทั้งฝั่งอุปทาน (Supply Side) และอุปสงค์ (Demand Side) โดยฝั่งอุปทานมีแรงกดดันหลักจาก 3 ปัจจัย คือ
ขณะเดียวกัน ฝั่งอุปสงค์ (Demand Side) ก็อ่อนแรงไม่แพ้กัน โดย แรงซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างชัดเจน เนื่องจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจและสงครามการค้าโลก ทำให้ผู้บริโภคไม่กล้าใช้จ่าย อีกทั้งตัวเลขการส่งออกไทยที่เริ่ม “แผ่วลงจากสองหลักเหลือหลักเดียว” ยิ่งสะท้อนถึงแรงซื้อที่หายไปในระบบ
“ตอนนี้คนไม่กล้าจับจ่าย ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง เมื่อแรงซื้อไม่มา ราคาสินค้าก็ขึ้นไม่ได้ ส่งผลให้เงินเฟ้อยังอยู่ในโซนติดลบ” ดร.ฉมาดนัย กล่าว พร้อมเตือนว่า ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความขัดแย้งทางการค้าอาจทวีความรุนแรงในปีหน้า ซึ่งจะยิ่งกดดันเงินเฟ้อให้ต่ำต่อเนื่อง
ดร.ฉมาดนัยอธิบายว่า ประชาชนรู้สึกว่าค่าครองชีพยังสูง แม้เงินเฟ้อติดลบ เพราะการคำนวณเงินเฟ้อวัดจาก “การเปลี่ยนแปลงของราคาเทียบกับปีก่อน ไม่ใช่ระดับราคาในปัจจุบัน “ของแพงกว่าก่อนโควิดแน่นอน แต่ราคาปีนี้ลดจากปีที่แล้ว เลยเห็นเงินเฟ้อติดลบ”
ยิ่งไปกว่านั้น รายได้ของคนไทยกลับลดลงจากชั่วโมงทำงาน และรายได้เสริมที่หายไป เมื่อรายได้ของคนเริ่มหดหายไป เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกับของที่ราคาไม่ลง คนก็รู้สึกว่าจับจ่ายยากขึ้น ดังนั้นหากปล่อยให้เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องโดยไม่มีมาตรการแก้ไข อาจนำไปสู่ “ภาวะเงินฝืดจริง” ซึ่งเป็นวงจรเศรษฐกิจที่อันตรายและใช้เวลาฟื้นตัวยาวนาน
ภาวะ “เงินฝืด” เป็นสถานการณ์ที่อันตรายต่อเศรษฐกิจ เพราะสะท้อนว่าประชาชน “ไม่กล้าใช้จ่าย” เมื่อผู้บริโภคลดการจับจ่าย ธุรกิจก็จำเป็นต้องลดราคาสินค้าเพื่อให้ขายได้ ส่งผลให้ราคาสินค้าทั่วไปในระบบลดลง และเงินเฟ้อกลายเป็น “ติดลบถาวร”
“เมื่อของมีราคาต่ำลงเรื่อย ๆ ธุรกิจจะขึ้นราคาสินค้าได้ยาก และต้องพยายามลดต้นทุนเพื่อแข่งขัน กำไรของผู้ประกอบการหายไป ต่อเนื่องไปจนถึงการลดขนาดกิจการหรือเลิกจ้างแรงงาน ผลกระทบนี้จะขยายวงกว้างจากภาคธุรกิจสู่ภาคครัวเรือน ทำให้กำลังซื้อหดตัวต่อเนื่อง” ดร.ฉมาดนัย กล่าว
กรณี “ญี่ปุ่น” เป็นตัวอย่างของประเทศที่เผชิญภาวะเงินฝืดยาวนานกว่า 30 ปี ราคาสินค้าและค่าจ้างแทบไม่ขยับขึ้นเลย ทำให้เศรษฐกิจชะงักงันและสูญเสียโอกาสการเติบโตระยะยาว ญี่ปุ่นใช้เวลาร่วมสามทศวรรษกว่าที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวก ไทยจึงไม่ควรปล่อยให้ภาวะเงินเฟ้อต่ำยืดเยื้อจนซ้ำรอย
ดร.ฉมาดนัยเสนอว่า รัฐบาลต้องเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างควบคู่กับการกระตุ้นระยะสั้น โดยเฉพาะการดูแลค่าเงินบาท และเสริมความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องเร่งแก้ไขคือ “สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่ไหลบ่าเข้ามาในตลาดไทย” โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่เข้ามาแข่งขันในราคาต่ำ ทำให้ผู้ประกอบการในประเทศเผชิญผลกระทบ “สองเด้ง” คือ
แข่งขันด้านราคาลำบาก กำไรลดลง ส่งผลให้ธุรกิจต้องลดต้นทุนโดยการเลิกจ้าง หรือลดชั่วโมงทำงาน ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อของแรงงานในประเทศโดยตรง ถ้าผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่ได้ สุดท้ายก็ย้อนกลับมากระทบประชาชนในรูปแบบของการว่างงานและรายได้ที่ลดลง
ในส่วนของการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาล ก็มีพื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space)จำกัด จากภาระหนี้และข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงจำเป็นต้องใช้นโยบายแบบ “พุ่งเป้า” ไปที่กลุ่มผู้ประกอบการและภาคแรงงาน เพื่อพยุงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น
ภาครัฐควรจับตา ค่าเงินบาทที่แข็งค่ากว่าเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียและเวียดนาม เพราะทำให้สินค้าส่งออกของไทยแพงกว่า และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
นักเศรษฐศาสตร์จากกรุงไทยยังประเมินว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในโซนติดลบ และต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย การลดดอกเบี้ยในระยะสั้นจึงเป็นไปได้สูง เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่แรงส่งจากภาคการคลังจำกัด
สำหรับแนวโน้มปี 2568–2569 ดร.ฉมาดนัยประเมินว่า
ปี 2568: เงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ 0.2–0.4%
ปี 2569: อาจขยับขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.5–0.7%
ดร.ฉมาดนัย ย้ำว่า เป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% นั้นยังเป็นเป้าที่เป็นไปได้ และเหมาะสมแล้ว แต่สิ่งสำคัญคือ นโยบายของภาครัฐจะต้องมีมาตรการในการผลักดัน ให้เงินเฟ้อกลับไปที่กรอบ เพื่อให้เข้าสู่เลข 1 ให้ได้เพื่อรักษาแรงขับของเศรษฐกิจของประเทศไทย