สกัดต้นตอป่วนค่าเงินบาท ‘เอกนิติ’ จ่อชง ครม.เศรษฐกิจ หาช่องคุมด่วน

06 ต.ค. 2568 | 09:35 น.
อัปเดตล่าสุด :06 ต.ค. 2568 | 09:39 น.

รัฐบาลเตรียมหาช่องทางสกัดตันตอป่วนค่าเงินบาท หลังเกิดกรณีตัวเลข NEO ในบัญชีดุลการชำระเงินไทยเพิ่มขึ้นผิดปกติ ‘เอกนิติ’ ชง ครม.เศรษฐกิจ หาทางดูแล ตั้งปลัดคลังมือประสานหน่วยงาน

KEY

POINTS

  • กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม.เศรษฐกิจ พิจารณาแนวทางดูแลความผิดปกติของตลาดการเงิน หลังพบว่าตัวเลขความคลาดเคลื่อนสุทธิ (NEO) ที่สูงผิดปกติส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท
  • นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ปปง. เพื่อติดตามเส้นทางเงิน และ ก.ล.ต. เพื่อตรวจสอบช่องทางที่ผิดปกติ
  • เป้าหมายคือการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ธปท., ก.ล.ต., ปปง. และกรมศุลกากร เพื่อหาภาพรวมที่ชัดเจนและนำเสนอมาตรการควบคุมต่อ ครม.เศรษฐกิจ

วันนี้ (6 ตุลาคม 2568) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ เร็ว ๆ นี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาแนวทางการดูแลความผิดปกติของตลาดการเงินไทย ภายหลังเกิดกรณีตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions : NEO) ในบัญชีดุลการชำระเงินของไทยเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติจนกระทบกับค่าเงินบาท

“ในการประชุมครม.วันที่ 7 ตุลาคม นี้ จะมีการตั้ง ครม.เศรษฐกิจขึ้นมา จากนั้น กระทรวงการคลัง จะเสนอเรื่องนี้เข้าไปยัง ครม.เศรษฐกิจ รับทราบแนวทางการกำกับดูแล ล่าสุดได้คุยกับปลัดกระทรวงการคลัง เมื่อวันก่อนและมอบหมายให้เป็นประธานไปหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับเม็ดเงินซึ่งอาจดูผิดปกติ ปรากฏอยู่ในส่วนของความคลาดเคลื่อนทางสถิติ หรือ NEO ซึ่งที่ผ่านมาตัวเลขดังกล่าวมีมูลค่าสูงเป็นพิเศษ” นายเอกนิติ ระบุ

นายเอกนิติ กล่าวว่า การกำกับดูแลเรื่องดังกล่าว จำเป็นต้องร่วมมือกับหน่วยยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน โดยมอบหมายให้ปลัดกระทรวงการคลัง หารือกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อติดตามเส้นทางเงินว่าเงินเหล่านั้นอยู่ตรงไหน

อีกส่วนคือหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เนื่องจากมีข้อสงสัยว่าเม็ดเงินเหล่านี้อาจจะเข้ามาในช่องทางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่หรือช่องทางอื่นที่ผิดปกติหรือไม่

รองนายกฯ กล่าวว่า การดำเนินการทั้งหมดนี้เกิดจากการที่ได้รับข้อมูลและข้อเสนอแนะมาจาก สมาคมธนาคารไทย รวมถึง สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ซึ่งสะท้อนข้อมูลให้เห็น ขณะเดียวกันยังมีข้อมูลที่ต้องเชื่อมโยงจากหลายแหล่ง ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย, กลต., ปปง., และกรมศุลกากร

“เรื่องนี้เป็นภารกิจสำคัญที่จะต้องเชื่อมโยง และนำข้อมูลเหล่านี้มาบูรณาการร่วมกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนที่สุด โดยมีเป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือการนำเรื่องนี้เข้ารายงานต่อ ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นการคุยกันในรูปแบบของชุดย่อย และจะทำงานอย่างเข้มข้นมากขึ้น เนื่องจากนายกฯ ได้มอบนโยบายและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ” รองนายกฯ กล่าว

รองนายกฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพการคลังและกรอบวินัยทางการเงินการคลังของรัฐ โดยเตรียมทบทวนกรอบวินัยการเงินการคลังระยะปานกลาง (ปีงบประมาณ 2569 - 2572) ซึ่งปัจจุบันเป็นแผนระยะเวลา 5 ปี แต่เบื้องต้นอาจขยายให้ยาวกว่านั้นเพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และภาระหนี้ของภาครัฐ ซึ่งภายในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้ จะนัดประชุมเพื่อหาข้อสรุปอีกครั้ง