นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.พร้อมดำเนินการแก้หนี้ภาคประชาชนและเกษตรกร ตามนโยบายของรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะลูกหนี้กลุ่มเรื้อรัง ซึ่งเป็นเกษตรกรที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป อยู่ประมาณ 40,000 กว่าคน คิดเป็นมูลหนี้วงเงินรวมประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท ธนาคารได้เตรียมมาตรการเหล่านี้เสนอรัฐบาลหลังจากแถลงนโยบายเสร็จ
“ลูกค้ากลุ่มนี้มีสัญญาหนี้ที่ซับซ้อน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว มีหลักประกันหลายรูปแบบ ธนาคารได้เตรียมทางเลือกและข้อมูลไว้หลายรูปแบบ เพื่อให้คณะกรรมการธนาคารพิจารณา ซึ่งการดำเนินการบางส่วนอาจอยู่ในอำนาจของคณะกรรมการธนาคาร แต่บางส่วนอาจต้องนำเสนอ ครม. หรืออาจถึงขั้นต้องมีการแก้กฎหมายหรือออกกฎกระทรวง โดยในทางบัญชีหากเราทำมาตรการนี้ก็จะถือเป็นการตัดหนี้สูญทิ้งไป โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงานของธนาคาร”
นอกจากนี้ ธนาคารกำลังพิจารณาทบทวน มาตรการพักหนี้เกษตรกรที่กำลังเข้าสู่ระยะสาม หลังจากปีแรกมีลูกหนี้เกษตรกรเข้าร่วมพักหนี้กว่า 1.8 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.8 แสนล้านบาท และต่อมาเข้ามาปีที่สอง มีการพักหนี้ลดลงเหลือ 1.4 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 2.3 แสนล้านบาท และล่าสุดในเดือนต.ค.นี้ กำลังเข้าสู่การพักหนี้ปีสาม ซึ่งเป็นปีสุดท้าย โดยจะต้องทบทวนว่าลูกหนี้คนไหนมีความต้องการ หรือคุณสมบัติจะพักหนี้ต่อได้หรือไม่
“มาตรการพักหนี้จะไม่พักหนี้แบบอัตโนมัติ แต่จะมีการรีวิวทบทวนทุกๆ ปี ซึ่งต้องดูว่าจะพักต่อหรือไม่ เพราะบางรายต้องการสินเชื่อเพิ่ม ก็อาจจะยกเลิกการพักหนี้ หรือบางรายกลับมามีความสามารถชำระก็จะหยุดพัก เพราะขณะนี้ธนาคาร มีมาตรการกระตุ้นให้เกษตรเข้ามาใช้หนี้ เช่น โครงการชำระดีมีโชค เป็นต้น”
ขณะที่สถานการณ์หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธ.ก.ส. ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 6.10% โดยอัตราการรับชำระหนี้ยังคงดีกว่าแผน และยังมีเป้าหมายลดสัดส่วน NPL ลงมาอยู่ที่ 5.17% ในช่วงสิ้นปีบัญชี 2568 (1 เม.ย.68-31 มี.ค.69)
ส่วนภาพรวมสินเชื่อของธนาคารในช่วงครึ่งปีแรกของปีบัญชี 2568 มีการติดลบเล็กน้อย ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยการหดตัวดังกล่าว เป็นเรื่องปกติของวัฏจักรการให้สินเชื่อตามฤดูกาล คาดว่าสินเชื่อจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงปลายปี และน่าจะเติบโตใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ ซึ่งธ.ก.ส.มีพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 1.678 ล้านล้านบาท มีแผนที่จะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท
“แม้สินเชื่อโดยรวมจะลดลง แต่เป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อ ตามแผนยุทธศาสตร์ของธนาคาร โดยสินเชื่อภาคการเกษตรระยะสั้นลดลงประมาณ 13,000 ล้านบาท แต่ได้มีการทดแทนด้วยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำในการชำระหนี้สูงขึ้น ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้ารายเดือน เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน บุคลากรสาธารณสุขและการศึกษา ทำให้พอร์ตสินเชื่อมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยเข้ามากว่า 12,000 ล้านบาท ทำให้พอร์ตสินเชื่อสุทธิลดลงเพียงประมาณ 1,000 ล้านบาท”