‘เอกนิติ’ ดึงเงินกองทุนฟื้นฟู ตั้ง AMC แก้หนี้เสีย 13 ล้านล้านบาท

30 ก.ย. 2568 | 07:31 น.
อัปเดตล่าสุด :30 ก.ย. 2568 | 07:34 น.

‘เอกนิติ’ ลุยนโยบายเร่งด่วน ดึงเงินกองทุนฟื้นฟู 2.6 หมื่นล้าน ตั้ง AMC แก้หนี้เสีย 13 ล้านล้านบาท ถก “ธปท.-สศค.-สมาคมธนาคารไทย” สัปดาห์หน้า

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเตรียมนำเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ  26,000 ล้านบาท มาจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์
  • AMC ที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะทำหน้าที่ซื้อหนี้เสีย (NPL) ของประชาชนมาปรับโครงสร้าง เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีมูลค่าสูงถึง 13.55 ล้านล้านบาท
  • แนวทางการแก้หนี้คือการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือน โดยจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงนโยบายการแก้หนี้เสียประชาชน ว่า จะนำเงินในกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีวงเงินเหลือออยู่ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง และตั้งเป้าหมายว่าจะลดหนี้ครัวเรือนให้ต่ำลงกว่า 87%

“การปรับโครงสร้างหนี้ จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เช่น เหลือ 500 บาทเพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ”

ด้านวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนของไทยยังคงเป็นความท้าทายหลัก โดยมีมูลค่าสูงถึง 13.55 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเกือบ 90% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั้งนี้ หากดูในรายละเอียดจะพบว่า 50% ของหนี้ครัวเรือนไทยเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้มีหลักประกัน

สำหรับในหนี้ครัวเรือน 13.55 ล้านล้านบาท หากพิจารณาเพิ่มเติม พบว่า เป็น NPL กว่า 9% ขณะเดียวกัน เป็นหนี้ที่เคยเป็น NPL และผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) อยู่ที่ประมาณ 8% และหนี้ที่ต้องพึงระมัดระวังเป็นพิเศษ (SM) ซึ่งชำระล่าช้าเกิน 1 เดือนแต่ไม่เกิน 90 วัน อยู่ที่ประมาณ 4%

ทั้งนี้ เมื่อรวมหนี้ที่อ่อนแอทั้งหมด ได้แก่ NPLs, หนี้ปรับโครงสร้าง, หนี้พึงระมัดระวัง, และหนี้ที่ต้องปรับโครงสร้างล่วงหน้าก่อนเป็น NPL (DR) จะรวมกันแล้วประมาณ 30% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด

นายวรภัค กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ผ่านมามักล่าช้า เนื่องจากหน้าที่หลักของธนาคารพาณิชย์ คือ การระดมเงินฝากและปล่อยเงินกู้ ธนาคารมีความถนัดในการปล่อยสินเชื่ออย่างรวดเร็ว เปรียบเหมือน "โรงงานปล่อยกู้" แต่ไม่มี "โรงงานแก้หนี้" ที่มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เราจึงได้กำหนด Road Map ที่ชัดเจนแล้ว ภายในสัปดาห์นี้ จะมีการหารือร่วมกับ 3 สถาบันหลักที่เกี่ยวข้องกับการแก้หนี้ภาคประชาชน ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อเดินหน้ากลไกการจัดตั้ง JV (Joint Venture) ร่วมกับ AMC ที่มีอยู่

“ข้อดีของกลไกนี้คือ AMC จะทำหน้าที่หลักในการแก้ไขหนี้ และจะใส่ใจในการจัดการหนี้เสียอย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นความเชี่ยวชาญหลักของพวกเขาทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์จะได้มีเวลาและสภาพคล่องมากขึ้นในการปล่อยกู้ และอัดฉีดสภาพคล่องกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ”

สำหรับหลักการ จะขอให้ธนาคารพาณิชย์แก้หนี้คนตัวเล็ก โดยเฉพาะหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000 บาท มีจำนวนลูกหนี้สูงถึง 3.4 ล้านราย แม้จำนวนลูกหนี้จะมาก แต่ยอดหนี้รวมของกลุ่มนี้อยู่ที่ประมาณ 123,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าไม่มากเมื่อเทียบกับยอดหนี้ NPL ทั้งหมดที่ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ จะเดินหน้าเพิ่มสภาพคล่องเอสเอ็มอี โดยจะจับมือกับธนาคารพิชย์ และธนาคารของรัฐ ใช้กลไกของบสย. เข้ามาช่วยค้ำประกันสินเชื่อ วงเงิน 50,000 ล้านบาท และจะมีการจัดเลนส์พิเศษสำหรับเอสเอ็มอี ที่มีความเชี่ยวชาญใน Supply Chain แต่ขาดสภาพคล่อง ทั้งเอสเอ็มอีขาดขนาดไม่เกิน 1 ล้านบาท และขนาดกลาง วงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท