‘เอกนิติ’ เปิด 5 เสาหลัก กู้เศรษฐกิจติดหล่ม วางเป้าจีดีพีไตรมาส 4 สูงกว่า 0.3%

30 ก.ย. 2568 | 06:51 น.
อัปเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2568 | 02:43 น.

‘เอกนิติ’ แจงสภาฯ เปิดนโยบายรัฐ ลุย 5 เสาหลัก 'Quick Big Win' กู้เศรษฐกิจติดหล่ม วางเป้าดึงจีดีพีไตรมาส 4 โตกว่า 0.3% ตั้ง AMC กดหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 87%

KEY

POINTS

  • เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญภาวะวิกฤต โดยตั้งเป้าหมายผลักดันให้ GDP ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ เติบโตสูงกว่า 0.3%
  • เปิดตัวนโยบาย "Quick Big Win" เพื่อกู้วิกฤตเศรษฐกิจผ่าน 5 เสาหลัก มุ่งเน้นการกระตุ้นระยะสั้นที่ส่งผลดีในระยะยาว
  • มาตรการสำคัญ ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว, การแก้ไขหนี้ภาคประชาชน, การเพิ่มสภาพคล่องให้ SME, การส่งเสริมการออม และการเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงต่อรัฐสภา ว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ ภายใต้การนำของนายอนุมิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้มีการประชุมวางแผนนโยบายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะวิกฤต โดยมีการเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเหมือนกับ "รถยนต์" ที่กำลัง "วิ่งลงเหว" หรือกำลัง "ใกล้จะติดหล่ม" หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ สถานการณ์อาจรุนแรงถึงขั้น ดิ่งเหว

ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ของ 3 หน่วยงานเศรษฐกิจภาครัฐ ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สำหรับไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1.7% และจะลดลงเหลือเพียง 0.3% ในไตรมาสที่ 4 ซึ่งบ่งชี้ว่าใกล้จะติดลบมาก

เครื่องยนต์เศรษฐกิจกำลังแผ่ว 

สำหรับรถยนต์เศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย เครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ได้แก่

1. เครื่องยนต์ส่งออก (ลูกสูบที่ 1) เป็นเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุด แต่กำลังแผ่วลงและจะ "ค่อย ๆ ดับ" เนื่องจากในช่วงต้นปีมีการเร่งส่งออกเพื่อเลี่ยงการขึ้นภาษีของทรัมป์ ทำให้ไตรมาส 1 และ 2 ขยายตัวได้ดี เฉลี่ยครึ่งปีแรก 3% แต่ในช่วงหลังการส่งออกเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น เดือนกรกฎาคมมีอัตราการเติบโตเหลือเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

2. เครื่องยนต์การบริโภคภาคเอกชน (ลูกสูบที่ 2) เครื่องยนต์นี้กำลัง "แผ่ว" และอาจ "ดับแล้ว" เนื่องจากตัวเลขดัชนีเครื่องชี้ในเดือนกรกฎาคมติดลบเป็นครั้งแรกในรอบปี สาเหตุหลักมาจากปัญหาความเชื่อมั่นที่ลดลง และหนี้ครัวเรือนที่สะสมมานานทำให้ประชาชนไม่มีรายได้

3. เครื่องยนต์การลงทุนภาคเอกชน (ลูกสูบที่ 3) เครื่องยนต์นี้ "เตรียมดับ" เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานทั่วประเทศยังไม่ถึง 60% ทำให้ผู้ประกอบการยังไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนเพิ่ม

4. เครื่องยนต์การใช้จ่ายรัฐบาล (ลูกสูบที่ 4) นี่คือ เครื่องยนต์เดียวที่เหลืออยู่ที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แม้ว่าน้ำหนักตัวจะเล็ก แต่ก็เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้เศรษฐกิจพ้นจากหล่มได้

“นอกจากปัญหาเครื่องยนต์ที่กำลังจะดับแล้ว รถยนต์เศรษฐกิจไทยยังเก่า อีกทั้งน้ำมันก็ใกล้หมด เนื่องจากสภาพคล่องเหือดหายในระบบ ทั้งจากปัญหาหนี้ครัวเรือนและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ขาดสภาพคล่อง”

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาลนี้ คือ การทำให้จีดีพีไตรมาส 4 ดีกว่าที่คาดการณ์ 0.3% ลดหนี้ครัวเรือนลงจาก 87.4% ให้อยู่ต่ำกว่า 87% และเพิ่มสภาพคล่อง รวมถึงเม็ดเงินลงทุนจริงจาก BOI ซึ่งการดำเนินงานทั้งหมดนี้ จะช่วยให้รถยนต์เศรษฐกิจไทยฟื้นจากหล่มได้ในระยะสั้น และเพิ่มขีดความสามารถในระยะยาว

"Quick Big Win"กู้เศรษฐกิจ 5 เสาหลัก

นายเอกนิติกล่าวว่า รัฐบาลได้สรุปแนวทางแก้ไขปัญหาโดยใช้หลักคิด "กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว" โดยมีกรอบเวลา 4 เดือน เพื่อเพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกระจายประโยชน์ไปยังทุกพื้นที่ รวมถึงดูแลผู้ประกอบการรายย่อย และปากท้องประชาชน นโยบายนี้เรียกว่า "Quick Big Win" ซึ่งต้องทำ "สั้น" (Quick) "ใหญ่" (Big) พอที่จะดันเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้รับ "ประโยชน์" (Win) โดยการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่

เสาหลักที่ 1 การกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

คนละครึ่งพลัส นโยบายนี้ใช้หลักการกระตุ้นสั้น ได้ยาวและกระจายตัว เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเสนอ ครม. ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ 200 บาท/วัน จากเดิมวันละ 150 บาท ใช้ทันต.ค.นี้แน่นอน และโครงการนี้จะเน้นให้ความช่วยเหลือแก่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก รายย่อย หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ เพื่อให้เกิดการกระจายตัว

นอกจากนี้ ในคำว่า พลัส เพื่อผลยาว โดยผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้รับเงิน 2,400 บาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษี หวังว่าระยะต่อไป ประชาชนจะเข้าระบบมากขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มทักษะ (Skill) ให้แก่พ่อค้าแม่ค้าในการขายของออนไลน์ (E-commerce) รวมถึงการทำบัญชีดิจิทัล ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร

ทั้งนี้ ในการเดินหน้าโครงการดังกล่าว รัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง ซึ่งไม่ได้มีการใช้เม็ดเงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้ว งบกระตุ้น 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม

ขณะที่ในภาคการท่องเที่ยว จะกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งนโยบายนี้สูญเสียรายได้ภาษีเพียง 300 ล้านบาท

เสาหลักที่ 2 การแก้ไขหนี้ภาคประชาชน

การบริหารหนี้เสีย (NPL) จะนำเงินในกองทุนฟื้นฟู ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีวงเงินเหลือจากโครงการ คุณสู้ เราช่วย ประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPL ของประชาชนออกมาปรับโครงสร้าง

“การปรับโครงสร้างหนี้ จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เช่น เหลือ 500 บาทเพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ”

เสาหลักที่ 3 การดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสภาพคล่อง

จะใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท และมีห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Financing ส่งเสริมโครงการ "พี่ช่วยน้อง" โดยให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน และสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ ธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอี ที่มีกำหนดได้รับเงินจากโครงการภาครัฐ ซึ่งลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ

ในด้านภาคการคลังนั้น จะภาษีเร่งรัดการคืนภาษีของกรมสรรพากรทันที ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ในมือถึง 160,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและเอสเอ็มอี อย่างรวดเร็ว

เสาหลักที่ 4 การเพิ่มการออมภาคประชาชน

สลากออมทรัพย์ เรียนว่า คนละอันกับหวยเกษียณ นโยบายนี้เป็นส่งเสริมการออม โดยเชื่อมโยงกับการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลทุกงวดที่ออกมาจะมีบัญชีทางออนไลน์ โดยแบ่งสัดส่วนเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินออมที่ต้องถือไว้ 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ซึ่งจะใช้เงินจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากฯ

ขณะเดียวกัน จะสนับสนุนให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินทั่วไป ปัจจุบันพันธบัตร 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1.4% ขณะที่เงินฝากทั่วไปไม่ถึง 0.25%

เสาหลักที่ 5 การเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี

เนื่องจากเครื่องยนต์ประเทศยังเป็นเครื่องจักรเก่า จึงต้องเพิ่มทักษะ (Skill) และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (เกษตรชีวภาพ, Smart Farming, ดิจิทัล, AI, Data Center, รถยนต์ EV และได้จับมือกับสถาบันการศึกษา เช่น สถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อฝึกอบรมแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดย BOI มีเงินสำหรับเพิ่มขีดความสามารถอยู่ 10,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน จะปลดล็อก BOI ด้วย "Fast Pass" เร่งรัดการอนุมัติโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เริ่มโครงการ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 470,000 ล้านบาท จะมีการใช้ระบบ "Fast Pass" เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องอนุมัติภายในเวลาที่กำหนด เพื่อดึงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน โดยไม่ต้องใช้เงินใหม่

“5 เสาหลักนี้จะอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง คือ การรักษาเสถียรภาพการคลัง ซึ่งเราจะเน้นหลักการสำคัญ คือ วินัย ซึ่งจะจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายน, โปร่งใส โดยจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น, และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency)”