คลังคาดพ.ย.นี้ S&P ปรับลดมุมมองไทยอีก ห่วงการเมือง-การคลัง

25 ก.ย. 2568 | 23:00 น.

คลังคาดพ.ย.นี้ S&P ปรับลดมุมมองไทยอีก ห่วงการเมือง-การคลัง ฝั่งสบน. ระบุ ‘ฟิทช์ เรทติ้งส์’ ปรับมุมมองเป็นเชิงลบ ไม่กระทบตลาดหุ้น เร่งฟื้นความเชื่อมั่น

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีนี้ ประเทศไทยยังเหลือการประเมินความน่าเชื่อถือจากสถาบัน S&P Global Ratings ซึ่งคาดว่าจะมีการประกาศอันดับเครดิตไทยในช่วงเดือนพ.ย.68

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สถาบันดังกล่าว ได้มีการเข้ามาหารือกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) แล้ว โดยมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางการให้คะแนนเครดิตไทย ในเรื่องคล้ายกันกับ Fitch Ratings ที่ผลการประเมินออกมาก่อนหน้านี้  ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมือง และพื้นที่ทางการคลัง

“ประเมินว่า S&P Global Ratings จะปรับลดมุมมองของไทยเป็นเชิงลบ เช่นเดียวกันกับ Fitch Ratings และ Moody’s Ratings อย่างไรก็ตาม มองว่าไม่ได้สร้างความตกใจให้กับตลาด เพราะตั้งแต่ Moody’s Ratings ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ปรับลดมุมมอง ไม่ได้มีผลต่อตลาดทุน“

สำหรับ Fitch Ratings นั้น ได้ปรับมุมมองแนวโน้ม (Outlook) ของอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term Foreign-Currency Issuer Default Rating: IDR) ของประเทศไทยจากมีเสถียรภาพ (Stable) เป็นเชิงลบ (Negative) ขณะที่ยังคงยืนยันอันดับเครดิตที่ 'BBB+' 

ด้านนางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ ในฐานะโฆษกสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การปรับมุมมองแนวโน้มเป็นเชิงลบของ Fitch Ratings (ฟิทช์ เรทติ้งส์) ในครั้งนี้ ไม่ได้หมายถึงการปรับลดอันดับเครดิต ซึ่งในอดีตไทยเคยเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะนี้มาแล้ว ที่ Fitch Ratings เคยปรับมุมมอง และท้ายที่สุดก็สามารถกลับมาสู่มุมมองที่มี "เสถียรภาพ" ได้สำเร็จ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถปรับมุมมองกลับมาได้ คือ การที่เศรษฐกิจสามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

"เราได้มีการประเมินความเสี่ยงและเตรียมการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตลาดเองก็ได้รับรู้ข่าวสารนี้ไปบ้างแล้ว ซึ่งทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศในวันนี้ สะท้อนจากดัชนีหุ้นไทยที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดย สบน. ได้มีการพูดคุยกับฟิทช์มาโดยตลอด และได้มีการให้ข้อมูลและข้อเสนอแนะกลับไปเพื่อแก้ไขข้อมูลบางส่วนเป็นการภายในด้วย" 

ทั้งนี้ รายงานจาก ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่าความกังวลหลักสองประการคือ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อเนื่องไปยังความต่อเนื่องทางนโยบาย และประเด็นเรื่องการเติบโตของ GDP และ การรักษาวินัยทางการคลัง (Fiscal Consolidation) นางจินดารัตน์ ยืนยันว่า เบื้องต้นท่านรัฐมนตรีได้หารือในเรื่องดังกล่าว และพร้อมตอบสนองต่อข้อกังวลและข้อเสนอแนะของสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่างเต็มที่ โดยจะมีการเดินหน้านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น รวมทั้งการปรับปรุงด้านธรรมาภิบาล 

“รัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายที่ดีมากมาย และต้องการให้สถาบันจัดอันดับเห็นถึง ความตั้งใจ (Intention) ในการดำเนินนโยบายเหล่านี้”

โดย สบน. ได้มีการชี้แจงกับฟิทช์เกี่ยวกับโครงสร้างงบประมาณของไทย โดยอธิบายว่างบประมาณรายจ่ายของไทยมีการรวมรายจ่ายในการชำระหนี้ไว้ด้วย ซึ่งประเทศอื่นๆ ไม่ได้รวมไว้ในส่วนนี้ แต่มักจะไปอยู่บรรทัดสุดท้าย จึงแสดงให้เห็นว่าไทยมีการรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด และเมื่อคิดคำนวณแบบไม่รวมรายการดังกล่าว จะพบว่าการขาดดุลที่แท้จริงไม่สูงเท่ากับที่รายงาน

"เรากำลังพยายามทำให้อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP มีเสถียรภาพในระยะกลาง โดยหากมีความคืบหน้าในการรัดเข็มขัดทางการคลัง อาจเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การดำเนินการเชิงบวกในอนาคต"