ฟิทช์ปรับเครดิตไทยเป็น ‘เชิงลบ’ กังวลการเมือง-การคลัง คงเรทติ้ง BBB+

24 ก.ย. 2568 | 11:47 น.
อัปเดตล่าสุด :24 ก.ย. 2568 | 12:04 น.

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้ม (Outlook) ต่อเครดิตประเทศไทยเป็น “เชิงลบ” หวั่นการเมืองยืดเยื้อ-การคลังเปราะบาง แม้คงอันดับ BBB+

KEY

POINTS

  • ฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับแนวโน้มอันดับเครดิตของไทยจาก "คงที่" (Stable) เป็น "เชิงลบ" (Negative) แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือไว้ที่ BBB+
  • สาเหตุหลักของการปรับแนวโน้มมาจากความเสี่ยงด้านการคลังและการเมืองที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง ภาระหนี้สาธารณะที่สูง และความไม่ชัดเจนของยุทธศาสตร์การคลัง
  • การคงอันดับเครดิต BBB+ ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยบวก เช่น ฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง และความสามารถในการจัดหาเงินกู้ของรัฐบาล

ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับแนวโน้ม (Outlook) อันดับเครดิตสกุลเงินต่างประเทศระยะยาว (Long-Term Foreign-Currency IDR) ของไทยจาก “คงที่” (Stable) เป็น “เชิงลบ” (Negative) แต่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ BBB+ สะท้อนความเสี่ยงด้านการคลังและการเมืองที่เพิ่มขึ้น ท่ามกลางแรงกดดันเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนสูง 

แนวโน้มเชิงลบ

ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อเสถียรภาพการคลังของไทยจากภาวะการเมืองที่ยืดเยื้อ บวกกับแรงกดดันด้านการเติบโตจากอุปสงค์โลกที่ชะลอตัว การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ช้า และภาระหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ระดับกันชนทางการคลังของไทยลดลง โดยหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ 59.4% ของ GDP ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2568 ใกล้ค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ‘BBB’ ที่ 59.6% และสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 ถึง 25 จุดเปอร์เซ็นต์

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ การเลื่อนแผนการปรับลดขาดดุลงบประมาณ และความไม่แน่นอนของยุทธศาสตร์การคลัง ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังระยะกลาง ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจเติบโตอย่างจำกัดและแรงกดดันจากโครงสร้างประชากรสูงวัย

คงอันดับเครดิต อันดับ ‘BBB+’ ของไทย

ได้รับแรงหนุนจากฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มั่นคง และศักยภาพในการจัดหาเงินกู้ของรัฐบาล โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินท้องถิ่นและต้นทุนการกู้ยืมต่ำ ต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 5.7% ของรายได้ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มเทียบเคียงที่ 9.2% จึงถ่วงดุลด้วยความท้าทายทางการคลัง หนี้ครัวเรือนที่ยังสูง และรายได้ต่อหัวรวมถึงคะแนนธรรมาภิบาลที่ต่ำกว่าประเทศในกลุ่ม ‘BBB’

เศรษฐกิจชะลอตัว

คาดว่า GDP ไทยจะเติบโต 2.2% ใน พ.ศ. 2568 และ 1.9% ใน พ.ศ. 2569 (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม ‘BBB’ 2.7%) จาก 2.5% ในปี 2567 เนื่องจากอุปสงค์ในและต่างประเทศอ่อนตัวลง การส่งออกที่เคยเร่งขึ้นจากภาษีนำเข้าของสหรัฐเริ่มจางลง

นักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงมกราคม–สิงหาคม พ.ศ. 2568 มีเพียง 21.9 ล้านคน ต่ำกว่าสถิติทั้งปี 2562 ที่ 39.9 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก กระทบการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ความต้องการส่งออกชะลอลงจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแรงและภาษีนำเข้าของสหรัฐ 19% แต่การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) ที่ต่อเนื่องอาจช่วยพยุงการเติบโตได้

การเมืองผันผวน

แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนในต้นกันยายน 2568 จากกรณีสายสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา ฮุน เซน ระหว่างเหตุตึงเครียดชายแดน ต่อมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย และตกลงกับพรรคประชาชนฝ่ายค้านว่าจะจัดการเลือกตั้งภายใน 4 เดือน เพื่อแลกกับการสนับสนุน ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันด้านงบประมาณและสร้างความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย

นโยบายการคลังและหนี้สาธารณะ

คาดว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายการคลังเต็มกรอบ ทำให้ขาดดุล 4.6% ของ GDP ในปีงบประมาณสิ้นสุด ก.ย. 2568 และ 4.3% ในปีงบประมาณ 2569 รัฐบาลชุดก่อนให้เงินสดช่วยเหลือประชาชนตามสัญญาหาเสียงปี 2566

มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น สนามบินใหม่ใกล้กรุงเทพฯ เชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูง งบประมาณปี 2569 ได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาแล้ว ลดโอกาสการใช้จ่ายต่ำกว่ากรอบเหมือนปี 2567

การเปลี่ยนแปลงผู้นำและการเลือกตั้งยังทำให้เส้นทางลดหนี้หลังปีงบประมาณ 2569 ไม่ชัดเจน ฟิทช์คาดว่าหนี้รัฐบาลจะทรงตัวต่ำกว่า 65% ของ GDP ตั้งแต่ พ.ศ. 2570 หากลดขาดดุลได้เร็วหลังปี 2569 แต่ยังมีความเสี่ยงด้านลบสูง

หนี้ครัวเรือนลดลง 

หนี้ครัวเรือนลดลงเหลือ 87.4% ของ GDP ในไตรมาส 1/2568 จากจุดสูงสุด 95.5% ในไตรมาส 1/2564 หลังเพิ่มขึ้นแรงช่วงโควิด ราว 30% เป็นสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่มีความเสี่ยงสูงหากตลาดแรงงานอ่อนแอ แต่ธนาคารยังคงมีเงินสำรองและเงินกองทุนเพียงพอเพื่อรองรับความเสี่ยง

นโยบายการเงินผ่อนคลาย

แรงกดดันจากราคาพลังงานและอาหารที่ลดลงทำให้ CPI เดือนสิงหาคมติดลบ 0.8% เมื่อเทียบปีก่อน แต่เงินเฟ้อพื้นฐานยังบวก 0.8% เปิดโอกาสให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมเมื่อผู้ว่าการคนใหม่เข้ารับตำแหน่งในตุลาคม

อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงรวม 100 จุดพื้นฐานใน 12 เดือนที่ผ่านมา ล่าสุดอยู่ที่ 1.5% คาดว่าจะลดอีก 25 จุดในปีนี้และอีกครั้งใน พ.ศ. 2569 และคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยจะค่อย ๆ เพิ่มจาก 0.2% ใน พ.ศ. 2568 เป็น 1.6% ใน พ.ศ. 2570 อยู่ในกรอบเป้าหมาย 1.0–3.0%

กันชนด้านต่างประเทศแข็งแกร่ง

ไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเฉลี่ย 2.8% ของ GDP ตลอด 30 ปี ทำให้มีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิเท่ากับ 47% ของ GDP (ค่าเฉลี่ยกลุ่ม ‘BBB’ คือ -2%) และสถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ 12.5% ของ GDP คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 2.3% ของ GDP ในปี2569 จาก 2.8% ใน2568

ประเด็น ESG

ประเทศไทยมีคะแนน ESG Relevance Score 5 ด้านเสถียรภาพทางการเมืองและสิทธิ และ 5[+] ด้านหลักนิติธรรม คุณภาพสถาบันและกฎระเบียบ และการควบคุมคอร์รัปชัน สะท้อนน้ำหนักสูงของดัชนีธรรมาภิบาลโลก (WBGI) ซึ่งมีผลอย่างมากต่ออันดับเครดิต

ปัจจัยที่อาจกระทบต่อการปรับอันดับในอนาคต

ปัจจัยลบ 

ความเชื่อมั่นลดลงต่อความสามารถควบคุมสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP หรือการเติบโตเศรษฐกิจระยะกลางอ่อนแอลงจากความไม่สงบทางการเมือง

ปัจจัยบวก

ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นต่อการลดหนี้ภาครัฐอย่างยั่งยืน หรือแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจปรับดีขึ้นโดยไม่เพิ่มหนี้ภาคเอกชน

ที่มา 

  • Fitch Revises Thailand's Outlook to Negative; Affirms at 'BBB+'