รัฐบาลจ่อปลดล็อก ‘งบกลาง’ ปี 68 หลายหมื่นล้าน ทิ้งทวนก่อนเส้นตาย

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการวางแผนการเร่งรัดและผลักดันการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ โดยเฉพาะวงเงินงบกลางที่มีค้างอยู่หลายหมื่นล้านบาท หลังจากรัฐบาลก่อนได้โอนงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ ที่เหลืออยู่ 26,000 ล้านบาท ไปเพิ่มในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นแล้ว

แหล่งข่าวระบุว่า หากการแถลงนโยบาลของรัฐบาลต่อรัฐสภา สามารถเริ่มต้นได้ในวันที่ 29-30 กันยายน 2568 คาดว่า รัฐบาลจะนัดประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อีกครั้งในช่วงบ่ายวันที่ 30 กันยายนนี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณที่มีอยู่ลงไปยังโครงการเร่งด่วนของรัฐบาลได้ทันที เพราะถ้าไม่เร่งดำเนินการวงเงินที่เหลืออยู่จะต้องนำส่งคืนทั้งหมด

“ตอนนี้รัฐบาลกำลังดูว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างกับการบริหารงบประมาณปี 2568 วงเงินงบกลาง ที่มีอยู่ เพราะถ้านัดประชุมได้ทันก็สามารถใช้เงินที่เหลือได้ในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งวงเงินงบกลางตอนนี้มีอยู่หลายหมื่นล้านบาท และการอนุมัติงบกลางก็อยู่ในการพิจารณาของนายกรัฐมนตรีด้วย” แหล่งข่าวระบุ

สำหรับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีจำนวน 96,556 ล้านบาท คิดเป็น 2.57% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 และเมื่อมีการโอนงบกลาง รายการกระตุ้นเศรษฐกิจมาสมทบอีก 26,000 ล้านบาท ทำให้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายฯ มีจำนวน 122,556 ล้านบาท คิดเป็น 3.27% ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้งบกลางไปแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะเงินการช่วยเหลือเยียวยาต่าง ๆ

อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลสามารถปลดล็อกการใช้เงินงบกลางได้ทันกำหนด ก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ คาดว่า วงเงินงกลางดังกล่าวจะนำลงไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่เตรียมแถลงต่อรัฐสภา โดยเฉพาะโครงการด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีโครงการสำคัญคือการฟื้น "คนละครึ่ง" กลับมากระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชนอีกครั้งในช่วงปลายปี สอดคล้องกับการยืนยันโครงการจากนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ที่เคยประกาศว่า โครงการคนละครึ่งจะกลับมาภายใน 1 เดือนหลังจากรัฐบาลได้เข้ามาบริหารงานแล้ว

ขณะเดียวกันยังมีนโยบายด้านอื่น ๆ เช่น การลดรายจ่ายที่สามารถนำเงินงบกลางมาใช้ได้ ทั้งการลดราคาค่าพลังงาน ค่าโดยสาร และค่าผ่านทาง ด้วย แต่ทั้งหมดก็อยู่ที่รัฐบาลจะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนว่า การผลักดันงบประมาณที่เหลืออยู่จะสามารถผลักดันออกมาได้อย่างไร เพราะการดำเนินการทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย