KEY
POINTS
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้จัดการเสวนาสำคัญในงาน BOT Symposium 2025 "เท่าทันภัยการเงิน" เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2568 ภายใต้หัวข้อ "สร้างภูมิคุ้มกันคนไทยจากภัยการเงิน" โดยมี ดร.ฐิติ ทศบวร หัวหน้ากลุ่มงานวิจัย สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (PIER) และ รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นวิทยากร
การเสวนาครั้งนี้มุ่งเน้นการนำเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์และงานวิจัยเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้าง โดยมีการฉายภาพรวมของภูมิทัศน์ปัญหาภัยการเงินตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างภัยการเงินกับตัวบุคคล
ดร.ฐิติ ทศบวร ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์ภัยการเงินว่า แม้จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ด้วยการพัฒนาของอินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดียที่ทำให้คนที่ไม่รู้จักกันมีปฏิสัมพันธ์กันได้ และระบบชำระเงินที่สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ทุกเวลา ทำให้ภัยการเงินขยับเข้ามาใกล้ชิดกับผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ตั้งแต่มีการเก็บสถิติในปี 2565 พบว่ามีการแจ้งความคดีออนไลน์สะสมสูงถึง 1 ล้านคดี คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 9.8 หมื่นล้านบาท
ดร.ฐิติชี้ว่า ในอดีตการหลอกแบบแอปดูดเงินได้ลดลงไปแล้วหลังภาคการเงินออกมาตรการป้องกัน แต่การหลอกลวงที่สร้างความเสียหายในปัจจุบันส่วนใหญ่คือ Authorized Push Payment หรือการที่เหยื่อมีเจตจำนงในการโอนเงินให้มิจฉาชีพเอง
จากการวิเคราะห์สถิติพบว่า ผู้เสียหายส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-30 ปี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเชิงบุคคล เช่น เพศ การศึกษา หรือรายได้ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัด ว่าใครจะถูกหลอกง่ายเป็นพิเศษ
มิจฉาชีพใช้ "อาวุธทางจิตวิทยา" เพื่อสร้างสถานการณ์ที่เหมาะสมกับคนแต่ละคน เช่น สร้างความกลัวหรือความโลภ เพื่อบดบังการตัดสินใจอย่างมีสติ โดยผู้ที่ยังไม่ตกเป็นเหยื่อคือผู้ที่ "ยังไม่เจอ" มิจฉาชีพที่มาหลอกได้ถูกท่า ถูกเวลา ถูกจังหวะเท่านั้น
ดร.ฐิติ ได้นำเสนอการปรับปรุงกลไกในทุกขั้นตอนของอาชญากรรม:
1. จุดแรก: แพลตฟอร์ม (Platform)
ข้อเสนอ: ต้องมีการประสานงานให้แพลตฟอร์มร่วม แชร์และใช้ข้อมูล กับตำรวจ เพื่อให้มีมาตรการความเข้มงวดเทียบเท่ากันทุกแพลตฟอร์ม มิฉะนั้นมิจฉาชีพจะไหลไปสู่แพลตฟอร์มที่อ่อนแอกว่า
2. จุดที่สอง: ธนาคาร (Transaction)
ข้อเสนอ: ธนาคารต้องทำให้การเตือนมีประสิทธิผลมากขึ้นด้วย 2 วิธี คือ
3. จุดที่สาม: การแจ้งความ (Reporting)
ข้อเสนอ: ลดต้นทุนการแจ้งความ เช่น ทำให้การแจ้งความง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันธนาคาร และที่สำคัญคือ ลดการดูถูกเหยียดหยามเหยื่อ เพราะทุกคนสามารถโดนหลอกได้ทั้งนั้น
4. จุดที่สี่: การติดตามเงินและการบังคับใช้กฎหมาย
"การทำงานร่วมกันเป็นทีมโดยมี "การแชร์ข้อข้อมูล" เป็นแกนกลาง จะช่วยคุ้มกันเราจากภัยการเงินได้"ดร.ฐิติ ย้ำ
รศ.ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ ได้นำเสนอผลการสำรวจประชากร 7,000 ตัวอย่าง ในช่วงปลายปี 2566 เพื่อวิเคราะห์ว่าใครคือเหยื่อของภัยการเงิน
ใครคือเหยื่อ? ผลสำรวจพบว่า
พฤติกรรมเสี่ยงและปัจจัยทางสังคม
ความเสียหายที่วัดยาก (Hidden Costs)
รศ.ดร.นวลน้อย เน้นย้ำว่า นอกเหนือจากความเสียหายทางการเงินที่เฉลี่ยประมาณ 60,000 บาทต่อเคส (ข้อมูลจากการแจ้งความ) ยังมีความเสียหายที่วัดยากแต่ส่งผลกระทบหนัก ได้แก่:
การตอบสนองของเหยื่อหลังเกิดเหตุ
หลังถูกหลอก พบว่ามีเพียง 10% เท่านั้นที่เลือกจะแจ้งความ ในขณะที่ 42% ยังคงติดต่อไปยังมิจฉาชีพเพื่อต่อรองแก้ไขปัญหา (มักพบในเคสหลอกซื้อของออนไลน์/หลอกลงทุน) และ 28% เลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย ปัจจัยที่เพิ่มโอกาสในการแจ้งความคือ มูลค่าความเสียหายที่สูง (เพิ่มโอกาส 1.4 เท่า) และการทราบช่องทางร้องเรียน
ไซเบอร์อาชญากรรมคือ "อุตสาหกรรม"
รศ.ดร.นวลน้อย สรุปว่า อาชญากรรมไซเบอร์ได้พัฒนาไปสู่ "อุตสาหกรรม" (Cyber Crime Industry) ที่มีการแบ่งงานกันทำตลอดห่วงโซ่การผลิต (Value Chain) อุตสาหกรรมนี้เฟื่องฟูอย่างมากเพราะมี แรงจูงใจสูง เนื่องจากผู้ก่ออาชญากรรมได้รับผลประโยชน์สูงแต่มีต้นทุนต่ำและถูกจับได้ยาก
การสร้างภูมิคุ้มกันให้ผู้บริโภค
เนื่องจากมิจฉาชีพใช้อาวุธทางจิตวิทยา และสื่อนอกสถานที่อาจเข้าไม่ถึงกลุ่มเป้าหมายเนื่องจาก "Algorithm" ในโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนอยู่แต่ในกลุ่มความสนใจของตัวเอง
"ดังนั้น แนวทางในการต่อสู้ที่ยั่งยืนคือการปิดช่องโหว่ที่ตัวผู้บริโภคเอง จำเป็นต้องมีการ สร้างภูมิคุ้มกันให้คนไทย โดยทำให้ผู้บริโภคเข้มแข็ง รู้เท่าทัน ไม่ประมาท ติดตามข่าวสาร และที่สำคัญคือ ฝึกฝนการป้องกันตัวทางจิตใจ เมื่อถูกโจมตี และลดพฤติกรรมเสี่ยงในโลกออนไลน์" อาจารย์นวลน้อย กล่าว