KEY
POINTS
ผศ.ดร.เอกก์ ภทรธนกุล อุปนายกฝ่ายกิจกรรม การสื่อสารและการตลาดยั่งยืน สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย และหัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้สัมภาษณ์กับ ฐานเศรษฐกิจ ถึงภาพรวมเศรษฐกิจและนโยบายใหม่ของรัฐบาล โดยมองว่านโยบาย “คนละครึ่ง” เป็นมาตรการที่มีผลเชิงบวก แต่เป็นเพียง “ยาแรงระยะสั้น” ที่ไม่สามารถพยุงเศรษฐกิจได้ในระยะยาว
ดร.เอกก์ อธิบายว่า คนละครึ่งเปรียบเสมือน “การฉีดวิตามิน” เข้าสู่ร่างกายที่อ่อนแอ เมื่อฉีดแล้วประชาชนรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที แต่ผลลัพธ์อยู่ได้ไม่นาน ต้องหายาใหม่มาฉีดต่อ อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจเปราะบางเช่นนี้ การใช้มาตรการลักษณะนี้ถือว่ามีความจำเป็น
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในโลกมี 2 รูปแบบ คือการ “ฉีดบน” ผ่านการลดหย่อนภาษีให้กับผู้มีกำลังซื้อสูง และการ “ฉีดล่าง” โดยอัดฉีดกำลังซื้อให้ประชาชนทั่วไป ซึ่งคนละครึ่งอยู่ในกลุ่มหลัง และถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะเม็ดเงินหมุนเวียนลงสู่รากหญ้าและร้านค้ารายย่อยโดยตรง ไม่ใช่เพียงธุรกิจหรูหรือโรงแรมระดับบน
พร้อมยกตัวอย่างว่า แม้แต่การซื้อหมูปิ้งหรือส้มตำ ก็ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ ซึ่งสร้างโมเมนตัมการจับจ่ายในวงกว้าง อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นแรงจูงใจให้ผู้ค้ารายย่อยเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นทางการมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดร.เอกก์ย้ำว่า การใช้จ่ายในประเทศเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าได้อย่างแข็งแรง เพราะกำลังซื้อภายในมีเพียงประชากรกว่า 60 ล้านคนและนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเสริมที่สร้างแรงกระเพื่อมในระดับโลก เสนอว่าทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ควรเร่งดำเนินการ 3 เรื่องหลักควบคู่ไปกับคนละครึ่ง ได้แก่
1. กระตุ้นการลงทุนจากต่างชาติ – โดยเฉพาะการฟื้นโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่เคยเป็นแม่เหล็กดึงดูดเงินลงทุน แต่ถูกชะลอไปก่อนหน้านี้
2. เร่งการใช้จ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ – เน้นให้งบลงทุนถูกนำออกมาใช้ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณเดือนตุลาคม แทนที่จะรอจนถึงกลางหรือปลายปี เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจทันที
3. บรรเทาผลกระทบด้านการค้าระหว่างประเทศ – โดยเฉพาะการแก้ปัญหากำแพงภาษีจากสหรัฐฯ ที่ขณะนี้ไทยเผชิญอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 19%
ทั้ง 3 มาตรการนี้ หากขับเคลื่อนได้จริง จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในระยะสั้น และสร้างฐานสำหรับการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ดร.เอกก์ยังแสดงความเห็นต่อประเด็น “บัญชีม้า” ที่ทำให้ประชาชนบางส่วนกังวลจนหันไปถือเงินสดมากขึ้นว่า แม้จะสร้างความตื่นตัวในช่วงสั้น ๆ แต่ไม่ส่งผลกระทบในเชิงโครงสร้างต่อระบบเศรษฐกิจ
“สุดท้ายแล้วร้านค้ายังต้องเลือกสิ่งที่ลูกค้าสะดวกที่สุด หากรับเงินสดเพียงอย่างเดียว ก็เสี่ยงขายสินค้าไม่ได้ ดังนั้นผู้ค้าจึงจำเป็นต้องกลับมารับเงินโอนหรือช่องทางดิจิทัลเหมือนเดิม เพราะความสะดวกของผู้บริโภคสำคัญกว่า”
ดร.เอกก์มองว่า คนละครึ่งเป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 4 เดือน แต่ไม่เพียงพอสำหรับการฟื้นฟูระยะยาว จึงจำเป็นที่รัฐบาลใหม่และทีมเศรษฐกิจจะต้องเร่งเดินหน้า 3 นโยบายหลัก ได้แก่ การดึงดูดการลงทุน การเร่งรัดการใช้จ่ายภาครัฐ และการแก้ปัญหากีดกันทางการค้า เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน ปัญหาบัญชีม้าเป็นเพียงความกังวลชั่วคราวที่ไม่กระทบโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว