KEY
POINTS
ในวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร การเมืองไทยจะจับตาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ เมื่อมีการบรรจุวาระสำคัญลำดับที่ 5 เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ถึงสองฉบับที่ค้างการพิจารณาอยู่
ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและสิทธิของแรงงานกว่า 30 ล้านคนในประเทศไทย โดยร่างกฎหมายทั้งสองฉบับนี้เสนอโดยนายจรัส คุ้มไข่น้ำ สส.ชลบุรี พรรคประชาชน กับคณะ และนางสาววรรณวิภา ไม้สน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กับคณะ ซึ่งแต่ละฉบับมีสาระสำคัญที่มุ่งยกระดับและคุ้มครองแรงงานให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันและมาตรฐานสากล
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ ที่เสนอโดยนางสาววรรณวิภา ไม้สน กับคณะ หรือที่ระบุว่าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่มี สาระสำคัญเกี่ยวกับสตรี มีหลักการสำคัญเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
โดยมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงานโดยรวมให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และเพิ่มอำนาจต่อรองของผู้ใช้แรงงาน ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้วางรากฐานสำคัญในการสร้างความเท่าเทียมในสถานที่ทำงานอย่างครอบคลุม โดย กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกปฏิบัติ หรือแสดงออกถึงการกีดกัน แบ่งแยก จำกัดสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นเหตุจากถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองฃ
บทบัญญัตินี้จะครอบคลุมตั้งแต่การสรรหา คัดเลือก การเพิ่มค่าจ้าง การเลื่อนตำแหน่ง ตลอดจนสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้างพึงได้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญและอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO)
นอกจากนี้ ร่างกฎหมายยังให้ สิทธิลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงลาเนื่องจากมีประจำเดือนได้เดือนละไม่เกิน 3 วัน โดยไม่นับรวมเป็นวันลาป่วย และไม่นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างลาด้วย
ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่จากการรับฟังความคิดเห็น ด้วยเหตุผลว่าประจำเดือนไม่ใช่การป่วยไข้ แต่เป็นวัฏจักรปกติของระบบสืบพันธุ์และฮอร์โมน ที่อาจทำให้ผู้หญิงบางรายมีอาการปวดท้องทรมานมากจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
รวมถึงอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ การให้สิทธินี้จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงานหญิงและลดผลกระทบจากการที่ต้องทำงานทั้งที่สภาพร่างกายไม่พร้อม แม้จะมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยที่มองว่าอาจทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานหญิง หรือมีการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญยิ่งคือ การให้สิทธิลูกจ้างลาไปดูแลบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่พำนักอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยที่ต้องการการดูแลทางร่างกายและจิตใจได้ปีละไม่เกิน 15 วันทำการ
โดยในกรณีที่ลาตั้งแต่ 5 วันทำการขึ้นไป นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์หรือใบมรณบัตรของบุคคลที่ลูกจ้างลาไปดูแล บทบัญญัตินี้เล็งเห็นถึงสภาพสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และบทบาทของลูกจ้างในการดูแลบุคคลอันเป็นที่รัก เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวของลูกจ้าง ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาการลาออกจากงานเพื่อไปดูแลครอบครัวและลดการสูญเสียกำลังแรงงานในประเทศ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมีข้อกังวลว่า การให้สิทธิลาดังกล่าวอาจสร้างความเดือดร้อนแก่นายจ้างหากลูกจ้างมีความจำเป็นต้องหยุดพร้อมกัน
และเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงบุตรด้วยนมมารดาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญาของบุตร ร่างกฎหมายยัง กำหนดให้นายจ้างต้องจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมและอุปกรณ์ที่จำเป็น เพื่อให้ลูกจ้างสามารถให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนมในที่ทำงานได้ไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง ครั้งละ 30 นาที ในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปีหลังคลอด
ซึ่งรวมถึงการจัดพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว มิดชิด ปลอดภัย ห่างจากจุดทำงานปกติไม่เกิน 20 เมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น เก้าอี้ โต๊ะ เต้าเสียบไฟฟ้า อุปกรณ์ปั๊มนม และตู้เย็นสำหรับจัดเก็บน้ำนม
การกำหนดนี้สอดคล้องกับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 183 ว่าด้วยการคุ้มครองความเป็นมารดา และอนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยสิทธิเด็ก เพื่อส่งเสริมสุขภาพที่ดีของทั้งแม่และบุตร และประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว แม้จะมีข้อจำกัดและความกังวลจากฝ่ายนายจ้างในเรื่องของความพร้อมของสถานประกอบการและต้นทุน แต่บทบัญญัติเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนเป็นส่วนใหญ่เพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม
อีกหนึ่งร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฯ ที่นายจรัส คุ้มไข่น้ำ กับคณะ เป็นผู้เสนอ มุ่งแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยเน้นการปรับปรุงเงื่อนไขพื้นฐานของการจ้างงานให้ทันสมัยและเป็นธรรมยิ่งขึ้น โดยมีหลักการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ใช้แรงงานโดยรวมให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพิ่มอำนาจต่อรอง และเพิ่มเวลาเรียนรู้สำหรับแรงงานเพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งสอดรับกับการพัฒนาสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอแก้ไข 3 ประเด็นหลักที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของแรงงานโดยตรง
ประเด็นแรก คือ การแก้ไขระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง โดยกำหนดให้เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมง ลดลงจากเดิมที่ 48 ชั่วโมง
และสำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวง กำหนดให้เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมง ลดลงจากเดิมที่ 42 ชั่วโมง
ร่างกฎหมายยังระบุด้วยว่า หากนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไปรวมกับวันทำงานปกติอื่นเกินกว่าวันละ 8 ชั่วโมง นายจ้างจะต้องจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงหรือต่อหน่วยผลงานที่ทำเกิน
การปรับปรุงนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างมาก โดยมองว่าจะช่วยรักษาสุขภาพร่างกายและจิตใจของแรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน อย่างไรก็ตาม มีข้อกังวลว่าการจำกัดเวลาทำงานอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ ลดประสิทธิภาพของธุรกิจ และเพิ่มภาระต้นทุนให้นายจ้าง โดยเฉพาะสำหรับกิจการ SME
ประเด็นที่สอง คือ การเพิ่มวันหยุดประจำสัปดาห์ โดยกำหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 2 วัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไม่น้อยกว่า 1 วัน และกำหนดให้วันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น
สำหรับลูกจ้างที่ทำงานในบางประเภท เช่น โรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร หรืองานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างและลูกจ้างยังสามารถตกลงกันล่วงหน้าสะสมวันหยุดประจำสัปดาห์และเลื่อนไปหยุดเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกัน
ประเด็นสุดท้าย คือ การเพิ่มสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปี โดยให้ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบ 120 วัน มีสิทธิลาหยุดพักผ่อนประจำปีได้ ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 10 วันทำการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไม่น้อยกว่า 6 วันทำงานหลังจากทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี
ในปีต่อมานายจ้างอาจกำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้แก่ลูกจ้างมากกว่า 10 วันก็ได้ และนายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังมิได้หยุดในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อๆ ไปได้ การแก้ไขนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเครียด เพิ่มเวลาดูแลครอบครัว และกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายของลูกจ้าง
ร่างกฎหมายนี้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และอนุสัญญา ILO ที่เกี่ยวข้องกับชั่วโมงการทำงานและวันหยุดพักผ่อน
ดังนั้นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายนนี้ มีเป้าหมายร่วมกันในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานและสร้างมาตรฐานการทำงานให้สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป การพิจารณาร่างกฎหมายเหล่านี้จะเป็นบททดสอบสำคัญในการสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิแรงงานกับภาระของผู้ประกอบการ เพื่อนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน และการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป