ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า มาตรการคนละครึ่งที่รัฐบาลใหม่จะนำมาใช้นั้น มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ และ พยุงเศรษฐกิจโดยรวม ให้มีความเข้มแข็งและมั่นคงยิ่งขึ้น ในภาวะที่เศรษฐกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ การสร้างกลไกที่ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนมีการใช้จ่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินทุนในระบบเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบจากความอ่อนแอของกำลังซื้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
“มาตรการ "คนละครึ่ง" ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจากฐานราก กระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30-35 ล้านคน การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังซื้อของฐานรากยังคงอ่อนแอ การที่รัฐบาลเข้ามาเติมเต็มกำลังซื้อให้คนกลุ่มนี้ จึงเป็นการสร้างโอกาสให้พวกเขาสามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่น”
นอกจากนี้มาตรการ "คนละครึ่ง" ยังมุ่งเน้นไปที่การสนับสนุนร้านค้าย่อย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา การที่ผู้บริโภคหันมาใช้จ่ายผ่านมาตรการนี้ จะส่งผลให้เม็ดเงินหมุนเวียนไปสู่ร้านค้าขนาดเล็กเหล่านี้โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีรายได้และสามารถประคองธุรกิจต่อไปได้
อย่างไรก็ดีงบประมาณที่รัฐบาลมีอยู่ 2.5 หมื่นล้านบาท สำหรับมาตรการ "คนละครึ่ง" อาจไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจน ขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังต้องการแรงกระตุ้นต่อเนื่อง
ดังนั้นจึงควรเพิ่มวงเงินสนับสนุนในการใช้จ่ายเป็น 3,000 บาทต่อคนเพื่อใช้จ่ายตลอดระยะเวลา 3 เดือน (ต.ค.-ธ.ค. 68) ซึ่งเมื่อรวมกับเม็ดเงินจากงบประมาณที่รัฐจะต้องร่วมจ่ายอีก 3,000 บาทต่อคน ประเมินเบื้องต้นคาดว่าจะทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจจากการจับจ่ายใช้สอยไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
ดร.ฉัตรชัย กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งมาตรการที่รัฐบาลควรนำกลับมาใช้คือ "Easy E-receipt" (ช้อปลดหย่อนภาษี) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในกลุ่มผู้มีกำลังซื้อที่สูง ซึ่งมีจำนวนประมาณ 5-8 ล้านคน และสามารถทำได้ทันทีในช่วงเดือน ต.ค.-ธ.ค. นี้ เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปีถัดไป ซึ่ง Easy E-receipt ไม่ได้ใช้เงินจากงบประมาณในปีนี้ แต่เป็นการลดภาระภาษีที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณระยะสั้นของรัฐบาล
อีกหนึ่งมาตรการที่เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และทำให้เกิดการใช้จ่ายจริงคือ มาตรการกระตุ้นการจ้างงานแบบคนละครึ่ง โดยรัฐร่วมจ่าย 50% และเอกชนเจ้าของกิจการร่วมจ่าย 50% ในการจ้างงานเด็กจบใหม่หรือผู้ที่ต้องการมีงานทำ ซึ่งนอกจากจะแก้ไขปัญหาการว่างงาน ยังสามารถสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน และเมื่อประชาชนมีรายได้ ก็จะมีเงินไปจับจ่ายใช้สอย จะเกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เป็นการสร้างวงจรบวกทั้งในด้านการจ้างงานและการบริโภค
“กลยุทธ์ที่สำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในปัจจุบัน รัฐบาลต้องทำหลายมาตรการพร้อมๆ กัน เพราะการดำเนินมาตรการเพียงอย่างเดียวนั้นคงไม่ช่วยเท่าไร การผสมผสานมาตรการคนละครึ่งที่เน้นกลุ่มกำลังซื้อกลางถึงล่าง ร้านค้าย่อย มาตรการ Easy E-receipt ที่เน้นกลุ่มกำลังซื้อสูง และมาตรการจ้างงานที่สร้างรายได้ จะเป็นการสร้างแรงกระตุ้นที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพสูงสุด”