ส่องนโยบายค้างคาพลังงาน-อุตสาหกรรม หลังเปลี่ยน รมต. นายกฯอนุทิน

07 ก.ย. 2568 | 08:17 น.
อัปเดตล่าสุด :07 ก.ย. 2568 | 08:17 น.

เปิดนโยบายค้างคากระทรวงพลังงาน-อุตสาหกรรม หลังอำนาจเปลี่ยนปรับตำแหน่งรัฐมนตรีภายใต้นายกรัฐมนตรีอนุทิน

KEY

POINTS

  • นโยบายสำคัญของกระทรวงพลังงานที่ยังค้างคา ได้แก่ การแก้ไขสัญญาสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ, การจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ (SPR) และการจัดทำแผนพลังงานชาติ (NEP) ที่ยังไม่แล้วเสร็จ
  • โครงการส่งเสริมโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (mini-refinery) เพื่อลดต้นทุนพลังงานให้ภาคเกษตรและขนส่ง และการสรรหาผู้บริหารในหน่วยงานสำคัญ เช่น กฟผ. ยังเป็นภารกิจที่ต้องสานต่อ
  • กระทรวงอุตสาหกรรมมีภารกิจผลักดันร่างกฎหมายสำคัญที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น พ.ร.บ. การจัดการกากอุตสาหกรรม, พ.ร.บ. โรงงาน และ พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เป็นที่เรียบร้อยวันนี้ (7 พ.ย. 68)

หลังจากนี้ประเด็นที่ได้รับความสนใจก็คือการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือที่เรียกว่า “อนุทิน 1” ว่าจะมีโฉมหน้าออกมาเป็นอย่างไร ผู้ใดจะได้เข้ามารับตำแหน่งบ้าง

อย่างไรก็ดี รัฐมนตรีที่แน่นอนแล้วว่าน่าจะหลุดจากตำแหน่งก็คือนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม 

 

ทั้งนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” จะพาไปย้อนดูผลงานของ 2 รัฐมนตรีก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยน หรือผลัดใบว่ายังมีนโยบายอะไรที่ยังทำไม่ได้ หรือยังค้างท่ออยู่บ้างที่รอการสานต่อ

รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง

  • กระทรวงพลังงานภายใต้การนำของนายพีระพันธุ์ ได้ประกาศนโยบายพลังงานตามแนวทาง "รื้อ-ลด-ปลด-สร้าง" โดยวางเป้าหมายไว้เป็นบันได 5 ขั้น ซึ่งจะแก้กฎหมายเกี่ยวกับนโยบายพลังงานกว่า 180 ฉบับ โดยที่นายพีระพันธุ์เริ่มรับตำแหน่งวันที่ 1 ก.ย.  66 ซึ่งยังมีนโยบายที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ เช่น การแก้ไขสัญญาสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ซึ่งมีการพูดถึงการแก้ไขสัญญาระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ได้รับสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้รัฐได้รับประโยชน์มากขึ้น 

ส่องนโยบายค้างคาพลังงาน-อุตสาหกรรม หลังเปลี่ยน รมต. นายกฯอนุทิน

  • การจัดทำระบบสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงของประเทศ หรือ SPR (Strategic Petroleum Reserve) เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันให้อยู่ในระดับที่รัฐบาลสามารถควบคุมราคาได้เอง โดยหลักการคือจะนำน้ำมันสำรองนี้มาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จะเปลี่ยนกองทุนน้ำมันฯ ที่ใช้เงินและสร้างหนี้สาธารณะ ให้กลายมาเป็นทรัพย์สินของประเทศต่อไป

โครงการโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก โดยมีแนวคิดที่จะส่งเสริมการจัดตั้งโรงกลั่นน้ำมันขนาดเล็ก (mini-refinery) ในประเทศ เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานและลดการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป โดยเฉพาะในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากโรงกลั่นหลัก 

อีกทั้ง จะเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการขนส่ง ผู้ให้บริการสาธารณะกุศล รวมไปถึงสหกรณ์การเกษตร การประมง สามารถจัดหาน้ำมันมาใช้ได้เอง เพราะถือเป็นการค้าเสรีอย่างแท้จริง ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีในการหาพลังงานของตัวเอง ถ้าหากผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันมาใช้เองได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาจำหน่ายหน้าปั๊ม ก็สามารถดำเนินการได้เลย จะทำให้ต้นทุนน้ำมันของเกษตรกร ชาวประมง ผู้ประกอบการขนส่งลดลงได้ทันที เมื่อผู้ประกอบการสามารถจัดหาน้ำมันได้ในราคาถูก ต้นทุนก็จะลดลง และเมื่อลดภาระเรื่องราคาน้ำมันแล้ว ก็ต้องลดราคาสินค้าให้ประชาชนด้วย หรือที่เคยระบุไว้ว่าน้ำมันเขียว

แนวทางการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน แม้จะมีการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีนโยบายที่อยู่ระหว่างการศึกษา เช่น การกำหนดทิศทางการส่งเสริมพลังงานชีวมวล (biomass) และชีวภาพ (biogas) ที่เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ รวมถึงการจัดทำแผนแม่บทพลังงานหมุนเวียนฉบับใหม่    

การสรรหาและแต่งตั้งผู้บริหารในสังกัดกระทรวงพลังงาน เช่น การนำเสนอชื่อผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คนใหม่ เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ,การสรรหาผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ,การจัดทำแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) หรือ NEP ที่มีการเลื่อนการพิจารณาและล่าสุดได้มีการตั้งคณะทำงานชุดใหม่มาดำเนินการร่วมกับสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) และการตั้งคณะกรรมการสรรหากรรมการสำนักงานกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ที่ปัจจุบันมีกรรมการบริหารเพียงแค่ 4 ท่าน

พ.ร.บ.โรงงาน-มอก.

ขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมภายใต้การนำของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ มีนโยบายที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ 

  • ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการจัดการกากอุตสาหกรรมฉบับใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียที่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ และยกระดับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรกที่มุ่งจัดการกากอุตสาหกรรมโดยเฉพาะ เพื่ออุดช่องโหว่ของกฎหมายเดิม คือ 1) การเพิ่มบทลงโทษ มีการพิจารณาเพิ่มบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นสำหรับผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเถื่อนหรือกลุ่มทุนสีเทาที่ลักลอบทิ้งกากพิษ 2) มาตรการป้องกัน เน้นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นซ้ำรอยเดิม โดยอาจรวมถึงการจัดตั้งกองทุนเพื่อการจัดการกากอุตสาหกรรมด้วย
  • ร่าง พ.ร.บ. โรงงาน ที่มีการพิจารณาแก้ไข เพื่ออำนวยความสะดวก ในการประกอบกิจการมากขึ้น เช่น การยกเลิกหรือลดขั้นตอนการขออนุญาตที่ไม่จำเป็น เพื่อลดภาระและเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ประกอบการ
  • การส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) โดยเน้นการผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ที่มีเป้าหมายในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
  • ร่าง พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานและทุ่มตลาดในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs นอกจากนี้ ยังมีแนงคิดในการจัดตั้งกองทุนเพื่อการปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน