ส.อ.ท.ชี้ ‘ยุบสภา’ ตาม ปชน. ยิ่งฉุดเศรษฐกิจ ลั่นต้องการความชัดเจน

03 ก.ย. 2568 | 09:32 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2568 | 09:32 น.

ส.อ.ท.ชี้ ‘ยุบสภา’ ตามเงื่อนไข ปชน. ยิ่งฉุดเศรษฐกิจ ลั่นภาคเอกชนต้องการความรวดเร็ว และชัดเจนมากที่สุด พร้อมห่วงการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า

KEY

POINTS

  • ส.อ.ท. แสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยชี้ว่าการยุบสภาหลังจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่นานจะยิ่งส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ
  • ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลที่ชัดเจนจะทำให้การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้า
  • ภาคเอกชนต้องการรัฐบาลที่มีเสถียรภาพโดยเร็วที่สุด เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเร่งด่วน โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่กำลังติดลบอย่างหนัก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า งบประมาณปี 2568 ภาครัฐยังเบิกได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รวมระยะเวลา 11 เดือนใกล้ครบ 1 ปีแล้ว แต่สามารถเบิกไปได้เพียง 50% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายมาก 

ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับตัวเลขเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 60% ถือเป็นความกังวลว่าการเบิกจ่ายของรัฐบาลจะมีการชะงักงันไม่เต็มที่เท่าที่ควร

สำหรับภาวะการเมืองที่ยังไม่ลงตัวในตอนนี้ เปรียบเทียบระหว่างการยุบสภาทันทีในตอนนี้ หรือจัดตั้งรัฐบาลเข้ามาทำงานในกรอบเวลา 4 เดือนจากนั้นจึงทำการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ตามที่พรรคประชาชนตั้งเงื่อนไขไว้นั้น ประเมินว่าการทอดเวลานานมากขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยาวเกินไป ถือว่าไม่เป็นผลดีอยู่แล้ว ภาคเอกชนส่วนต้องการความรวดเร็วและความชัดเจนมากที่สุด

ส.อ.ท.ชี้ ‘ยุบสภา’ ตาม ปชน. ยิ่งฉุดเศรษฐกิจ ลั่นต้องการความชัดเจน

ส่วนคุณสมบัติรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่ต้องการคือ เป็นคนมีความรู้ คนเก่ง และคนดี กล้าตัดสินใจในประเด็นต่างๆ เพราะมีความสำคัญในช่วงที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูงแบบนี้ 

โดยไม่ว่าจะใช้เวลาก่อนเลือกตั้งใหม่ 5-6 เดือน หรือลากยาวไปเป็นปี ในช่วงระหว่างนั้น ภาคการลงทุนก็จะชะลอตัวรอดูความชัดเจนก่อน กระบวนการขับเคลื่อนแผนงานของราชการก็จะทำไปแบบชะลอลงเช่นกัน ดูทิศทางข้างหน้า ไม่ได้ทำงานในอัตราเร่งอย่างที่ควร 

แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันต้องการการแก้ไข้ปัญหาอย่างรวดเร็ว ซึ่งการทำงานตอบสนองอาจช้าเกินไป

“ความสำคัญในตอนนี้คือ ภาคการค้าระหว่างชายแดน โดยเฉพาะไทยและกัมพูชา ที่ยอดการค้าสะสมติดลบ 10% และหากประเมินตัวเลขเฉพาะเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา การส่งออกเหลือเพียง 370 ล้านบาท ติดลบกว่า 97% ทำให้ต้องรีบเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการทั้งทางตรง และผู้ผลิตสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ จึงเป็นที่มาของความต้องการรัฐบาลเร็วที่สุด เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่รออยู่”