กกร. ห่วงการเมืองไร้เสถียรภาพ เสี่ยงถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ผวาครึ่งปีหลัง GDP โตได้แค่ 1%

03 ก.ย. 2568 | 06:16 น.
อัปเดตล่าสุด :03 ก.ย. 2568 | 09:30 น.

เอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ห่วงการเมืองไร้เสถียรภาพ ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ จีดีพีครึ่งปีหลังอาจโตได้แค่ 1% กังวลเงินบาทแข็งผิดปกติ กระทบส่งออก ดัน“Reinvent Thailand” สร้างความร่วมมือรัฐ-เอกชน ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ แก้หนี้ครัวเรือนยกระดับขีดแข่งขันธุรกิจไทย

KEY

POINTS

  • กกร. แสดงความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลงจากปัญหาการเมืองที่ขาดเสถียรภาพ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นในการลงทุนของภาคเอกชน
  • คงประมาณการขยายตัวของ GDP ไทยปี 2568 ไว้ในกรอบ 1.8-2.2% แม้มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้เพียงประมาณ 1%
  • ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่กดดันเศรษฐกิจนอกเหนือจากการเมือง ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน ค่าเงินบาทที่แข็งค่าไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน และปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ

(3 ก.ย.2568) ท่ามกลางทิศทางสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่ขาดเสถียรภาพ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้มีการประชุมประจำเดือนกันยายน 2568

ทั้งนี้มี นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดร.พจน์  อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และได้ร่วมในการแถลงข่าว ใจความสำคัญระบุว่า

เศรษฐกิจโลกยังคงปั่นป่วนจากนโยบายการค้าสหรัฐ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการรอผลตัดสินจากศาลสูงสุด ภายหลังศาลอุทธรณ์สหรัฐ ตัดสินว่าการขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากับประเทศต่างๆ ขัดต่อกฎหมาย นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยกเลิกการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำกว่า 800 ดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่ ปลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้การประมาณการเศรษฐกิจโลกสำหรับปีนี้ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง

กกร. ห่วงการเมืองไร้เสถียรภาพ เสี่ยงถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือ ผวาครึ่งปีหลัง GDP โตได้แค่ 1% เศรษฐกิจไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัว เศรษฐกิจไตรมาสที่ 2 ขยายตัว 2.8% ลดลงจาก 3.2% ในไตรมาสที่ 1 ส่วนอัตราการว่างงานในระบบในไตรมาสที่สองเพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% ในไตรมาสที่ 1 และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานอยูที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นราว 5% จากปีก่อน และภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาฯ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของ SMEs เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท

คาดว่าปี 2568 GDP ไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% โดยครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียงประมาณ 1% ปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลดอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น

ผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย

กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่กลับมีความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ

รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น เช่น พิจารณากลไกลงทุนต่างประเทศ ผ่านกองทุน Sovereign Wealth Fund

เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

สำหรับคาดการณ์กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร.ในช่วงที่ผ่านมา เป็นดังนี้

  • ณ ม.ค.-เม.ย. 2568

GDP 2.4% ถึง 2.9%

ส่งออก 1.5% ถึง 2.5%

เงินเฟ้อ 0.8% ถึง 1.2%

  • ณ พ.ค. 2568

GDP 2.0% ถึง 2.2%

ส่งออก 0.3% ถึง 0.9%

เงินเฟ้อ 0.5% ถึง 1.0%

  •  ณ มิ.ย. 2568

GDP 1.5 ถึง 2.0

ส่งออก -0.5% ถึง 0.9%

เงินเฟ้อ 0.5% ถึง 1.0%

  •  ณ ก.ค. 2568

GDP 1.5% ถึง 2.0%

ส่งออก -0.5% ถึง 0.3%

เงินเฟ้อ 0.5% ถึง 1.0%

  •  ณ ส.ค. 2568

GDP 1.8% ถึง 2.2%

ส่งออก 2.0% ถึง 3.0

เงินเฟ้อ 0.5% ถึง 1.0%

  •  ณ ก.ย. 2568

GDP 1.8% ถึง 2.2%

ส่งออก 2.0% ถึง 3.0%

เงินเฟ้อ 0.5% ถึง 1.0%

กกร. เห็นว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีความเปราะบาง

จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยลดผลกระทบเชิงลบ ฟื้นฟูความเชื่อมั่น และสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม

นอกจากนี้ มีความเห็นว่า รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน (Pay by Skills) ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน มากกว่าการปรับขึ้นค่าจ่างขั้นต่ำ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการ UP-Skill & Re-Skill , Multi-Skill และ New Skill เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน และเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) สามารถ ลดต้นทุนและสร้างความสามารถในการแข่งขัน

พจน์  อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย

ขณะเดียวกันจากที่ กกร. ได้เข้าไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ด้วยตระหนักถึงผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ  ซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ ทั้ง

1) ความเปราะบางที่มีอยู่เดิม ได้แก่ ความเหลื่อมล้ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่

2) ขาดความสามารถในการแข่งขันในโลกใหม่ ขาดการลงทุนพัฒนาผลิตภาพ ขณะที่แรงงานขาดทักษะที่จำเป็น

และ 3) ความท้าทายของภาครัฐ จากพลวัตของการเปลี่ยนแปลงของโลกที่รุนแรงและรวดเร็ว และการไม่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงของนโยบายภาครัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยฉุดรั้งศักยภาพการเติบโตของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงได้เห็นร่วมกันในการจัดทำกรอบแนวทางการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า 

จากความร่วมมือดังกล่าว  ได้นำไปสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เป็นเวทีร่วมสร้างอนาคตประเทศไทยอย่างยั่งยืนเพื่อทุกคน ที่มุ่งเน้นการดำเนินนโยบายที่ปฏิบัติได้จริง สร้างพลวัตใหม่เพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว โดย  Reinvent Thailand จะถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ของทุกองค์กรแนวร่วม เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

โดยภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อและส่งเสริมให้เกิดการเร่งปรับตัวและเรียงลำดับความสำคัญ แพลตฟอร์มนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ  แต่ทุกฝ่ายจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการดำเนินการ โดยมีการสร้างพื้นที่การมีส่วนร่วม ในการออกแบบนโยบาย การกลั่นกรองแนวทาง การขับเคลื่อนการดำเนินงาน และการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง (Result Oriented) โดยเน้นการใช้ข้อมูล (Data-Driven) เพื่อให้ตอบโจทย์ปัญหาอย่างตรงจุด มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน พลิกฟื้นศักยภาพในการแข่งขัน

Reinvent Thailand ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจัง โดยจะเริ่มประสานเพื่อผลักดันนโยบายเร่งด่วน 2 เรื่องที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้จริง ได้แก่ 1) การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน โดยบูรณาการทั้งระบบ เชื่อมโยงข้อมูล นำไปสู่การเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ

และ 2) การเพิ่มขีดความสามารถของภาคเอกชน เชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เน้นการลงทุนในเทคโนโลยี ยกระดับทักษะแรงงานและการผลิตด้วยคนไทย สร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่แข่งขันได้ในระดับสากล โดยมีมาตรการจูงใจจากรัฐ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ เพื่อสร้างตลาด

ทั้งสองนโยบายเป็นเพียงตัวอย่างของแนวนโยบายที่สะท้อนวิธีคิดใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ในอนาคต โดยแนวทางที่วางไว้ภายใต้แพลตฟอร์มนี้ให้ความสำคัญกับ ประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของนโยบาย  สามารถใช้เป็น “เข็มทิศ” ให้กับทุกรัฐบาล ในการวางนโยบายเศรษฐกิจเพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ เพิ่มทักษะ สร้างการจ้างงาน รายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยทุกคนได้อย่างเป็นรูปธรรมและวัดผลได้