“อมตะ” รับอาจมีทุนไหลออก เชื่อไทยยังมีโอกาสลดภาษีจากสหรัฐฯ

08 ก.ค. 2568 | 10:28 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ค. 2568 | 10:28 น.

“อมตะ” ยอมรับอาจมีการย้ายผลิตทุนบ้าง เชื่อไทยยังมีโอกาสลดภาษีจากสหรัฐฯ ขอรอความขัดเจนสุดท้ายเพื่อประเมินผลกระทบ

จากกรณีที่สหรัฐอเมริกาได้แจ้งอย่างเป็นทางการว่าจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตราสูงถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นอัตราภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่สูงกว่าที่ภาคเอกชนประเมินไว้ 

และสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม (20%) อินโดนีเซีย (32%) และมาเลเซีย (25%) ซึ่งสะท้อนว่าไทยกำลังเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน

ต่อกรณีดังกล่าวนางสาวเด่นดาว โกมลเมศ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA กล่าวให้ความเห็นกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เวลานี้ยังไม่เห็นมุมมองเชิงลบจากลูกค้า ซึ่งคงต้องรอประกาศอย่างชัดเจนจากสหรัฐฯ เพราะเวลานี้ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ตัวเลข 36% ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ก.ค. 68

ซึ่งหมายความว่าสหรัฐยังเปิดโอกาสให้ไทยยื่นข้อเสนอ หรือเงื่อนไขใหม่ให้พิจารณา เพราะฉะนั้น จนกว่าจะถึงวันที่ 1 ส.ค. 68 อัตราการจัดเก็บภาษียังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หรือจะกล่าวก็คือควรรอความชัดเจนสุดท้ายถึงจะสามารถตอบคำถามได้ดีที่สุดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างไรบ้าง และต้องปรับตัวอย่างไร

ขณะที่ลูกค้าของบริษัทซึ่งประกอบกิจการอยู่ในนิคมฯก็ไม่ใช่ว่าจะผลิตและส่งออกไปแค่ตลาดสหรัฐฯเท่านั้น ยังมีตลาดยุโรป เวลานี้บริษัทก็กำลังรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับสถานการณ์

ส่วนการย้ายผลิตนั้น หากมองประเทศอื่นก็ถือว่ายังถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูง ยกเว้นเวียดนาม อย่าง สปป.ลาวก็ถูกเรียกเก็บที่ 49%

 

ส่วนการย้ายผลิตนั้น หากมองประเทศอื่นก็ถือว่ายังถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูง ยกเว้นเวียดนาม อย่าง สปป.ลาวก็ถูกเรียกเก็บที่ 49%

“การเก็บภาษีนำเข้าจากไทยเวลานี้ถือว่ายังไม่ถึงจุดสิ้นสุดที่แน่นอนว่าจะโดน 36% โดยสหรัฐฯพยายามที่จะดึงเกมส์เพื่อรอข้อเสนอใหม่จากไทยให้ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด”

อย่างไรก็ดี บริษัทก็มีการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ ควบคู่ไปกับรอข้อสรุปที่ชัดเจนจากสหรัฐฯ เพื่อวางแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยมีความเป็นไปได้ที่ไทยอาจมีทุนไหลออกไปเวียดนาม และมาเลเซียที่ถูกเรียกเก็บภาษีต่ำกว่าไทยบ้าง ซึ่งหากเป็นเวียดนามบริษัทก็ไม่ได้กังวลเท่าใดนัก เพราะมีนิคมฯอยู่  

“แน่นอนว่าในระยะต่อไปคงต้องมีการปรับตัว เพื่อรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยด้วยพื้นที่ของอมตะเชื่อว่ายังมีลูกค้าให้ความสนใจเช่นเดิม เพียงแต่ผลกระทบอาจจะยังไม่เห็นชัดเจน”