ในเดือนมิถุนายน 2568 ปัญหาเขตแดนไทย‑กัมพูชาเดือดอีกครั้ง โดยเฉพาะกรณีปะทะระหว่างทหารที่ช่องบก อุบลราชธานีเมื่อปลายพฤษภาคม ส่งสัญญาณเตือนถึงความตึงเครียดชายแดนซึ่งเรียกร้องให้มีการใช้กลไกทางการทูตอย่างเร่งด่วน กระทรวงต่างประเทศจึงส่งทีมไทยไปประชุม คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กับกัมพูชา ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ เพื่อเจรจาแบบ “ทวิภาคีบริสุทธิ์” โดยไม่ดึงศาลโลกหรือประเทศอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง
ถือกำเนิดในปี 2538-2540 จากข้อตกลงในการทำบันทึกความเข้าใจ MOU 43 เมื่อปี 2543 ฐานรากของ JBC คือการเจรจาต่อเนื่องเพื่อวางหลักเขตแดนทางบกไทย‑กัมพูชา โดยมีลักษณะเป็นกลไกหลักสำหรับการหารือแบ่งเขตแดน เสริมด้วยองค์ความรู้ “เชิงเทคนิค” จากอนุกรรมการทางเทคนิค (JTSC) ที่คอยสำรวจและวิเคราะห์แผนที่ เส้นแบ่งสันปันน้ำ และตำแหน่งเสาหลักที่มีอยู่แล้วกว่า 73 ต้น
JBC เป็นเวทีสำคัญที่ระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศเป็นประธานร่วม ทำให้สามารถสร้างความชัดเจนด้านอธิปไตย และชะลอความขัดแย้งเชิงพื้นที่ที่อาจลุกลามได้
นอกจาก JBC ยังมีกลไกที่ทำงานเชื่อมประสานอีก 2 กลุ่ม:
กลไกทั้งสามนี้ทำงานประสานกันในแนว “ทวิภาคีเต็มรูปแบบ” อาศัยมาตรการทหารควบคู่วิชาการ-การทูต แทนการเดินหน้าไปทางศาลโลก
ในช่วงการแถลงข่าวตลอดช่วงต้นเดือนมิถุนายน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ยืนยันชัดว่า ไทยไม่ต้องการให้ศาลโลกเป็นคนกลาง แม้กัมพูชาจะมีข้อเสนอเดินหน้าไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) สำหรับพื้นที่พิพาท เช่น ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม-โต๊ด-ตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต โดยย้ำว่า ไทยไม่รับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ปี 2503 และมองว่ากลไกการเจรจาแบบทวิภาคีคือการแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุด
รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศได้สั่งการให้ฝ่ายไทยผ่าน JBC ในการเจรจาครั้งนี้ มุ่งเน้นหลักการ 3 ข้อสำคัญ
ไทยจะสื่อสารผลการประชุมผ่านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศควบคู่กับโฆษกเฉพาะกิจ เพื่อขยายการรับรู้ถึงพันธะทางทูตด้านชายแดน และสร้างความร่วมมือกับสถานทูตประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สมาชิกอาเซียนและพันธมิตรที่เข้าใจในจุดยืนไทย
กลไก JBC พร้อมกลุ่มสนับสนุน GBC และ RBC และกรอบทางกฎหมายอย่าง MOU 43 ยังคงเป็นเสาหลักสำคัญของไทยในการเจรจาเรื่องชายแดนอย่างสันติ วิธีนี้ช่วยให้ไทยคงอธิปไตยไว้ได้ ในขณะเดียวกันก็ยังไม่ปิดประตูต่อการเจรจาร่วมกับกัมพูชาแบบ “ทวิภาคี” อย่างเต็มรูปแบบ แม้ต้องเผชิญความกดดันจากข้อเสนอให้ส่งเรื่องขึ้นศาลโลก โดยเฉพาะในประเด็น “พื้นที่พิพาท” กลไกนี้จึงไม่ใช่แค่เวทีเจรจา แต่เป็นตัวแทนความมั่นใจของไทยทั้งทางเทคนิค การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ