“พิชัย” เร่งปรับโครงสร้างพื้นฐาน กระตุ้นลงทุนเพิ่ม 6 ล้านล้านบาท

07 มิ.ย. 2568 | 05:04 น.
อัปเดตล่าสุด :07 มิ.ย. 2568 | 05:07 น.

“พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และรมว.คลัง ชี้ไทยต้องลงทุนเพิ่ม 6 ล้านล้านบาท สร้างความยั่งยืนเศรษฐกิจ เร่งปรับโครงสร้างพื้นฐานประเทศรับนักลงทุนต่างชาติ

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในงานสัมนา “Thailand Investment Forum 2025" หัวข้อเรื่อง มาตรการคลังฟื้นเศรษฐกิจ ปลุกเชื่อมั่นตลาดทุน จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ ฐานเศรษฐกิจ และโพสต์ทูเดย์ ว่า ช่วงเศรษฐกิจรุ่งเรืองกว่า 40 ปีก่อน ประเทศไทยเคยมีอัตราการลงทุนสูงถึง 50% ของจีดีพี แต่ในช่วงหลังวิกฤต การลงทุนลดลงเหลือเพียง 20% ของจีดีพี และในบางปีต่ำกว่า 18% 

“ขนาดเศรษฐกิจปัจจุบัน อยู่ที่ 19-20 ล้านล้านบาท ควรจะมีการลงทุนตามมาตรฐานโลก ประมาณ 34% หรือประมาณ 6-6.5 ล้านล้านบาทต่อปี แต่ปัจจุบันการลงทุนไทย อยู่เพียง 3-4 ล้านล้านบาท แปลว่าการลงทุนน้อยไปประมาณ 2 ล้านล้านบาท ดังนั้น เราต้องเพิ่มการลงทุนให้อยู่ที่ประมาณ 6 ล้านล้านบาท เพราะการลงทุนมีผลต่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ”

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ การลงทุนจะเกิดขึ้นได้ นักลงทุนต้องมีความเชื่อมั่น ซึ่งต้องสร้างทั้งกับคนในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่ขัดขวางการลงทุน เช่น ประเทศไทยพึ่งพาภาคอุตสาหกรรมเกือบ 40% ของการเติบโต ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางน้ำ หรือการนำมาประกอบวัตถุดิบในไทย ส่วนธุรกิจต้นน้ำอยู่ในประเทศของนักลงทุน ทำให้ Value Added ค่อนข้างต่ำ ประมาณ 10-15%

ด้านภาคเกษตร มีสัดส่วนในการสร้างรายได้ให้ประเทศต่ำ ประมาณ 8% แต่ใช้พื้นที่และประชากรกว่า 1 ใน 3 ของประเทศ แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้าน Value Added ที่อาจติดลบในสินค้าบางประเภท ทำให้เกษตรกรมีหนี้

นายพิชัย กล่าวว่า สิ่งที่จะต้องเดินต่อไปนี้ จะต้องให้เกิดการลงทุนรูปแบบใหม่ (New Production Platform)จำเป็นต้องมีการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เน้นดิจิทัล เช่น อุตสาหกรรมดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และไบโอเทคโนโลยี (Bio-tech) และ Cloud เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และแข่งขันได้

ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ไทยสามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศแล้วกว่า 700,000 - 800,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับยอดรวมทั้งปีของปี 2567 ที่อยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นหน้าที่ของภาครัฐ ที่จะเข้าไปสนับสนุนการผลิตให้เชื่อมกับการลงทุนของต่างประเทศให้ได้

นอกจากนี้ รัฐบาลได้มีข้อเสนอให้นักลงทุนต่างชาติ เช่น การเข้ามาร่วมลงทุนให้นำ R&D เข้ามาด้วย การร่วมทุนกับคนไทย การนำ Production Sector เข้ามาตั้งในประเทศไทย การควบคุมการขายในประเทศ และการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย เป็นต้น 

สำหรับประเทศไทยยังน่าสนใจในสายตานักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากทำเลที่ตั้งของเราเป็นศูนย์กลางของเอเชีย สามารถเชื่อมต่อไปยังเอเชียเหนือและออกทะเลได้ทั้ง 2 ฝั่ง อย่างไรก็ตาม เรายังมีปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และกฎระเบียบ ปัญหาแรงงาน สังคมผู้สูงอายุ แต่รัฐบาลพยายามแก้ไขโดยการปรับอายุการทำงาน และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อผลิตแรงงานที่มีทักษะตรงตามความต้องการของภาคเอกชน

ขณะที่ปัญหาการใช้ที่ดิน (Long Term Leasing) นั้น นักลงทุนต่างชาติต้องการการเช่าที่ดินระยะยาว 60-90 ปี ซึ่งกฎหมายปัจจุบันยังมีปัญหา และไม่เอื้อต่อการเช่าที่ดินเกิน 30 ปี ซึ่งรัฐบาลกำลังพิจารณาแก้ไขในเรื่องดังกล่าว

ด้านพลังงานนั้น นักลงทุนต้องการพลังงานที่เพียงพอและพลังงานสีเขียวในราคาที่แข่งขันได้ ประมาณ 9-10 เซนต์/หน่วย หรือ 3 บาท/หน่วย แต่ราคาปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4 บาท/หน่วย ส่วนปัญหาน้ำนั้น ยังมีปัญหาเรื่องน้ำท่วม น้ำแล้ง รัฐบาลจำเป็นต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำที่ชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่อุตสาหกรรม 

ทั้งนี้ เรายังมีปัญหาความล่าช้าในการขออนุญาตและกฎหมายที่ล้าสมัย (Ease of Doing Business) จำนวนมากที่ต้องแก้ไข ส่วนเรื่องปัญหาโลจิสติกส์ การขนส่งทั้งทางถนน ทางเรือ ทางอากาศ ยังเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ซึ่งต้องมีการลงทุนเพิ่มเติม

นายพิชัย กล่าวว่า รัฐบาลยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย โดยใน 1 ปี รัฐบาลเก็บรายได้ไม่ถึง 3 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลมีรายจ่ายต้องใช้กว่า 3 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดหนี้สาธารณะ ฉะนั้น จำเป็นต้องมีนโยบายแบบ Hybrid ให้รัฐบาลลงทุนบางส่วนและผลักดันให้ภาคเอกชนเป็นผู้ลงทุนหลัก (Public-Private Partnership)

"ในหลายๆ เรื่องเราก็ต้องผลักดันนโยบายเป็น Hybrid รัฐบาลลงบางส่วนให้เอกชนลงบางส่วน อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า รัฐบาลกำลังพยายามแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน“

นอกจากนี้ รัฐบาลเข้าใจถึงความสำคัญของตลาดทุน และเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น Digital Asset, Asset-backed tokenization ซึ่งรัฐบาลก็ ได้มีการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่างๆ และหลายเรื่องได้มีการแก้ไขแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย เกี่ยวกับดิจิทัล 

“เราได้มีการแก้ไขกฎระเบียบเพื่อเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์และตลาด Digital Asset เข้าด้วยกัน ทำให้การลงทุนสะดวกขึ้น มีการแก้ไขปัญหาเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ เช่น Short Selling ที่ไม่ถูกต้อง โดยจะมีการลงโทษที่เข้มงวดขึ้นทั้งทางอาญาและแพ่ง”