เปิดแผนบริหารหนี้ปี 68 รัฐกู้ 1.22 ล้านล้าน ลุยปรับโครงสร้างการคลัง

02 มิ.ย. 2568 | 08:20 น.
อัปเดตล่าสุด :02 มิ.ย. 2568 | 08:49 น.

สบน. เปิดแผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2568 รัฐบาลกู้เงินใหม่ 1.22 ล้านล้านบาท เน้นพันธบัตรออมทรัพย์เป็นเครื่องมือหลัก พร้อมโรลโอเวอร์หนี้เดิมกว่า 1.74 ล้านล้าน เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังในยุคเศรษฐกิจผันผวน

แผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2568 ที่ได้รับการปรับปรุงครั้งที่ 1 แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลและสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ในการบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

โดยครอบคลุมทั้งแผนการก่อหนี้ใหม่และแผนการบริหารหนี้เดิม ซึ่งพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรออมทรัพย์ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการระดมทุนและปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล 

แผนการก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลในปีงบประมาณนี้อยู่ที่ประมาณ 1.22 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการกู้เงินในประเทศจำนวนกว่า 1 ล้านล้านบาท เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในปี 2567 ที่มีการขยายเวลาการกู้เงิน 

รวมทั้งการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 2568 ที่คาดการณ์ไว้ประมาณ 865,700 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีกู้เงินต่างประเทศอีกประมาณ 40,000 ล้านบาท แต่ยังอยู่ในกรอบวงเงินตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะอย่างเคร่งครัด 

สิ่งที่น่าสนใจคือ การกู้เงินเพื่อบริหารสภาพคล่องทางการเงินของรัฐบาล แม้ว่าจะมีกรอบวงเงินไว้ที่ 112,581 ล้านบาท แต่ในแผนปรับปรุงครั้งที่ 1 ปีนี้ไม่ได้มีการใช้วงเงินดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังในการบริหารเงินสดและความมั่นคงทางการเงินของรัฐบาลอย่างรัดกุม 

เปิดแผนบริหารหนี้ปี 68  รัฐกู้ 1.22 ล้านล้าน ลุยปรับโครงสร้างการคลัง

ในส่วนของแผนการบริหารหนี้เดิม หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Roll-over หรือ Refinance นั้น รัฐบาลได้วางแผนไว้ที่ประมาณ 1.74 ล้านล้านบาท โดยเป็นการบริหารจัดการหนี้ในประเทศ รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ที่ครบกำหนดชำระในปีงบประมาณ 2568 และช่วงปีต่อ ๆ ไปจนถึงปี 2572 แผนนี้รวมถึงการออกตราสารหนี้ใหม่ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรออมทรัพย์ เพื่อทดแทนพันธบัตรและตราสารหนี้เก่าที่ครบกำหนดชำระ

พันธบัตรออมทรัพย์ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป ซึ่งในปีงบประมาณนี้ มีพันธบัตรออมทรัพย์หลายรุ่นที่ครบกำหนดชำระคืน และอยู่ในแผนการปรับโครงสร้างหนี้ เช่น

  • พันธบัตรออมทรัพย์รุ่น 7 ปี ปีงบประมาณ 2561 ที่ครบกำหนดชำระในเดือนพฤศจิกายน 2567 วงเงินประมาณ 15,479 ล้านบาท
  • พันธบัตรออมทรัพย์ “สุขกันเถอะเรา” รุ่นปี 2558 ครบกำหนดในเดือนมกราคม 2568 วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท
  •  พันธบัตรออมทรัพย์ “ส่งความสุข” รุ่นปี 2565 ครบกำหนดในเดือนมกราคม 2568 วงเงิน 30,000 ล้านบาท
  •  พันธบัตรออมทรัพย์ “ยิ่งออมยิ่งได้” รุ่นปี 2564 ครบกำหนดในเดือนกรกฎาคม 2568 วงเงินกว่า 35,000 ล้านบาท 

วงเงินเหล่านี้สะท้อนถึงภาระงานที่ สบน. ต้องบริหารจัดการในแง่ของการจ่ายคืนหนี้และออกพันธบัตรรุ่นใหม่เพื่อชดเชยและบริหารความเสี่ยงทางการเงินให้กับรัฐบาล 

การบริหารจัดการหนี้สาธารณะเป็นงานที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและประณีต เพราะหนี้สาธารณะคือภาระที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบอย่างยาวนาน และมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ 

สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะและกระทรวงการคลัง มีบทบาทสำคัญในการบริหารความเสี่ยงของหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกใช้ตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดการเงิน ทั้งในส่วนของสกุลเงิน อายุ และอัตราดอกเบี้ย เพื่อให้สามารถรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภายในประเทศที่ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จะท้าทายการบริหารหนี้ของรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง การมีแผนบริหารหนี้ที่ยืดหยุ่นและตอบสนองได้รวดเร็วจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

จึงกล่าวได้ว่า แผนบริหารหนี้สาธารณะปี 2568 นี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลขและวงเงิน แต่เป็นภาพสะท้อนถึงความตั้งใจและความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลฐานะการเงินของประเทศ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืนและประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,101 วันที่ 1 - 4 มิถุนายน พ.ศ. 2568