นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย ซึ่งมีผลต่อการสร้างการขีดความสามารถในการแข่งขันทั้งภาคธุรกิจ และประชาชน ฉะนั้น การปฏิรูปภาษีเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาไทยเคยจัดเก็บภาษีได้ 16% ของจีดีพี จากประเทศอื่นๆ อยู่ที่สัดส่วน 18% ของจีดีพี และปัจจุบันการนี้เราจัดเก็บภาษีลดลงมาอยู่ที่ 14%
“การจัดเก็บภาษีได้น้อย แปลว่าโครงสร้างทางเศรษฐกิจทางภาคบริการเปลี่ยนแปลงไป วิธีการเก็บภาษีจะต้องปรับใหม่ ฐานภาษีนั้นหายไป และหากไม่ทำเช่นนั้น ภาครัฐจะมีปัญหา เพราะหากรายได้น้อย หนี้ก็จะเพิ่มขึ้น มีการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะ ซึ่งสุดท้ายแล้วจะมีผลต่อประเทศ”
สำหรับโครงสร้างนั้น หลายๆ อย่างจะต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ภาษีบางตัวจัดเก็บสูง หรือบางตัวจัดเก็บไม่ทั่วถึงหรือไม่ เป็นต้น และในต่างประเทศก็มีการดึงดูดนักลงทุนผ่านกลไกภาษี ซึ่งประเทศไทยก็ต้องดูแลในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
สำหรับเศรษฐกิจไทย ในปี 2566 จีดีพีเติบโต 1.9% และขยับขึ้นมาเป็น 2.5% ในปี 2567 ซึ่งหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 3% โดยช่วง 3ไตรมาสที่ผ่านมา เศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่อง
แต่เนื่องจากนโยบายภาษีสหรัฐอเมริกา และความขัดแย้งภูมิประเทศ ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเดินไปทิศทางใด การส่งออกอาจจะสะดุด ฉะนั้น จึงประเมินว่าจะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจไทยในปีนี้
“ยอมรับว่าเศรษฐกิจปีนี้จะสะดุด หลายฝ่ายคาดว่าอาจจะหายไป 1% หรือคาดว่าจีดีพีไทยค่ากลางจากสภาพัฒน์ประเมินจะเติบโตที่ 1.8% หากได้รับผลกระทบก็อาจจะโตเพียง 1.2% เท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้น รัฐบาลจึงปรับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ทบทวนงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อสนับสนุนการเติบโตเศรษฐกิจในระยะสั้นในปี 2568 ต่อเนื่องไปถึงปีงบประมาณ 2569-2570 เพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจไทย”
สำหรับการทบทวนงบประมาณดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายที่จะสร้างการแข่งขันกับชาวโลก จะเปิดตลาด และปรับปรุงมีโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ภาคเกษตร แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เรื่องการขนส่ง และพลังงาน ก็จะดูแลให้ตอบโจทย์การเข้ามาลงทุน
ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้รายงานข้อมูลโครงการที่อยากดำเนินการเพื่อปรับปรุงโครงสร้างประเทศ มูลค่ากว่า 4 ล้านล้านบาท จึงมอบหมายให้ไปจัดลำดับโครงการสำคัญมา เพื่อดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้ จากเม็ด 1.57 แสนล้านบาทนั้น เงินส่วนหนึ่งจะนำไปดูแลเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออก และรัฐบาลยังได้มอบนโยบายแบงก์รัฐได้จัดทำมาตรการดูแลผู้ได้รับผลกระทบ โดยธนาคารออมสิน ก็ได้เตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 1 แสนล้านบาทไว้ เป็นต้น ส่วนในด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้หารือธนาคารพาณิชย์ เพื่อเตรียมสภาพคล่องดูแลผู้ประกอบการ