ท่ามกลางกระแสโลกที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability) และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แนวคิด ESG ได้กลายเป็นกรอบในการพัฒนาทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
สำหรับ “กรมสรรพสามิต” หน่วยงานด้านการจัดเก็บภาษี ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้ประกาศจุดยืนในการเป็น “กรม ESG” ใช้เครื่องมือทางภาษีในการผลักดันให้ประเทศเข้าสู่เส้นทางแห่งความยั่งยืน
น.ส.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิตฉายภาพว่า ทิศทางของโลกให้ความสำคัญกับการเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม ภาพของกรมจึงเน้นขับเคลื่อนในเรื่อง sustainability เพื่อความยั่งยืน ซึ่งขณะนี้เราเป็นกรมที่มีนโยบายเน้น ESG ขับเคลื่อนในเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ซึ่งจะมีผลต่อการดูแลเศรษฐกิจประเทศในอนาคต
ด้านความยั่งยืนนั้น ปัจจุบันได้ออกภาษีคาร์บอน โดยกลไกราคาคาร์บอนจะฝังอยู่ในภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ทำให้ไม่มีผลต่อราคาขายปลีก จึงไม่มีผลกระทบต่อผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้บริโภค ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว เป็นการสร้างความตระหนักรู้ของทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ โดยที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. จะมีหน้าจอที่มีแสดงให้ผู้บริโภคทราบถึงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ใช้จากการเติมน้ำมันในแต่ละครั้ง
ทั้งนี้ กรมได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จํากัด (มหาชน) หรือ OR เพื่อจัดเก็บข้อมูลทําวิจัยว่า เมื่อผู้บริโภครับรู้ในเรื่องของภาษีคาร์บอนแล้ว พฤติกรรมผู้บริโภคจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
ข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการออกนโยบายกำหนดราคาคาร์บอนใหม่ในอนาคตได้
ส่วนสาเหตุที่จัดเก็บภาษีคาร์บอนจากน้ำมัน ก็เพราะก๊าซที่ปล่อยสู่ก๊าซเรือนกระจก 70% มาจากภาคการขนส่งและพลังงาน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ขณะที่ภาคการเกษตร 15% ภาคอุตสาหกรรมการผลิต 10% และอีก 5% เป็นของเสียหรือขยะ
นอกจากภาคการขนส่งและพลังงาน ยังมีกลุ่มถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ แต่กรมยังไม่ได้จัดเก็บภาษีกลุ่มดังกล่าว เนื่องจากไม่มีพิกัดภายใต้อัตราภาษีสรรพสามิต แต่ในอนาคตกรมก็อาจจะมาดูส่วนนี้เพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน กรมยังสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์อีวีไปสู่รถยนต์ในอนาคต ซึ่งเป็นการลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ โดยได้ออกมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผ่าน EV 3.0 และปัจจุบันอยู่ที่ EV 3.5 และยังดูแลซัพพลายเชน ด้วยการปรับปรุงเงื่อนไข HEV และ PHEV ด้วย
หากมีผลกระทบต่อคาร์บอนไดออกไซด์น้อยก็จะมีอัตราภาษีที่น้อยด้วย เพราะจะดูเกณฑ์ในการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็นหลัก
สำหรับมาตรการส่งเสริมใช้รถยนต์ EV 3.0 นั้น รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน10 คน ปี 2565-2566 เป็นปีที่นำเข้ามาและต้องผลิตชดเชยปี 2567-2568 โดยมีการนำเข้า 84,396 คัน รัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนไปแล้ว 73,240 คัน มูลค่า 10,900 ล้านบาท ซึ่งข้อมูลล่าสุด ณ เดือนเม.ย.68 มีผู้ประกอบการเข้ามาตั้งโรงงานในประเทศแล้ว 11 แห่ง มีการผลิตชดเชยแล้วประมาณ 32,732 คัน
ขณะที่มาตรการ EV 3.5 นั้น ผู้ประกอบการนำเข้ามาปี 2567-2568 และผลิตคืนปี 2569-2570 โดยขณะนี้มียอดนำเข้ามาแล้ว 73,817 คัน และรัฐบาลจ่ายเงินอุดหนุนบางส่วนแล้ว 11,269 ล้านบาท
นอกจากนี้ กรมยังอยู่ระหว่างเตรียมเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่ และเครื่องที่กักเก็บพลังงานไฟฟ้า ซึ่งคาดว่า จะได้เห็นภายในปีนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการใช้ หรือการผลิตแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพสูงภายในประเทศ และให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม
โดยหลักการจัดเก็บภาษี จะคิดอัตราเป็นขั้นบันได จากเดิมที่อัตราภาษีแบตเตอรี่กำหนดคงที่ไว้ 8% ซึ่งหากกระบวนการในการกําจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ เช่น ถ้าใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง อัตราภาษีจะต้องสูงกว่าแบตเตอรี่ที่นำมาชาร์จได้อีกเรื่อยๆ
ทั้งนี้ หากเป็นแบตเตอรี่ที่อยู่ได้นาน และมีน้ำหนักเบา อัตราภาษีก็จะถูกลงด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ และในโครงสร้างภาษีจะรวมถึงความสามารถในการกำจัดแบตเตอรี่ที่ถูกต้องด้วย
ด้านทางสังคม ก่อนหน้านี้กรมได้ปรับภาษีความหวานระยะที่ 3 ออกมาแล้ว และกรมจะศึกษาต่อไปถึงการจัดเก็บภาษีความเค็ม เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนในอนาคต โดยมีแนวคิดจัดเก็บภาษีเป็นขั้นบันไดเช่นเดียวกัน
ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพูดคุยกับทุกภาคส่วน ได้แก่ กระทรวงสาธารณะสุข, ผู้ประกอบการ, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.), สภาอุตสาหกรรม, และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เพื่อให้มาตรการภาษีดำเนินการไปในทิศทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
“ตามหลักของ WHO ระบุว่า เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมต่อคน แต่คนไทยบริโภคโซเดียมเกินจำนวนดังกล่าวกว่า 2 เท่า หรือประมาณ 3,600 มิลลิกรัม"
ฉะนั้น เพื่อตั้งเป้าไม่ให้ประชาชนเกิดโรค เราจึงจะใช้เครื่องมือทางภาษีมาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต และพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งย้ำว่า เราจะพยายามให้กระทบต่อต้นทุนของผู้ประกอบการน้อยที่สุด
เรียกได้ว่า นโยบายของกรมสรรพสามิตไม่ใช่แค่การจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเท่านั้น แต่เป็นการ “กำหนดทิศทาง” ของสังคมไทยผ่านกลไกภาษี โดยเฉพาะในประเด็นสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการบริโภคอย่างรับผิดชอบ ซึ่งล้วนเป็นพื้นฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,100 วันที่ 29 - 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568