ภาษีเพื่อสุขภาพ: นวัตกรรมทางภาษีเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทย

18 พ.ค. 2568 | 00:19 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ค. 2568 | 00:20 น.

"กรมสรรพสามิตเดินหน้า 'ภาษีความเค็ม' ต่อยอดความสำเร็จจากภาษีความหวาน ปรับพฤติกรรมผู้บริโภค-ผู้ผลิต สร้างทางเลือกเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงโรค NCDs ของคนไทย"

"ภาษี" ไม่ใช่แค่เครื่องมือจัดเก็บรายได้ แต่เป็นกลไกปกป้องสุขภาพคนไทย

กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิต ดำเนินมาตรการภาษีเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของประชาชน และกระตุ้นให้ผู้ประกอบการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ล่าสุด หลังความสำเร็จของ "ภาษีความหวาน" ที่บังคับใช้เต็มรูปแบบตั้งแต่ 1 เมษายน 2568 กรมสรรพสามิตเดินหน้าเตรียมจัดเก็บ "ภาษีความเค็ม" ตามรอย เพื่อสร้างสังคมไทยที่มีสุขภาพดียิ่งขึ้น

จากความหวาน...สู่ความเค็ม เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตกำลังศึกษาการจัดเก็บภาษีความเค็ม โดยใช้โมเดลแบบขั้นบันไดเช่นเดียวกับภาษีความหวาน ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

"ตามหลักขององค์การอนามัยโลก คนเราควรบริโภคโซเดียมไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัมต่อคน แต่คนไทยบริโภคโซเดียมเกินกว่า 2 เท่า หรือประมาณ 3,600 มิลลิกรัม เพื่อตั้งเป้าไม่ให้ประชาชนเกิดโรค NCDs เราจึงใช้เครื่องมือทางภาษีมาปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและพฤติกรรมของผู้บริโภค"

ทั้งนี้ จากสถิติพบว่าอาหารที่มีโซเดียมสูงอันดับแรกคือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อันดับ 2 คือขนมขบเคี้ยว และอันดับ 3 คืออาหารแช่แข็ง ซึ่งการเก็บภาษีความเค็มจะมุ่งเน้นการวัดค่าปริมาณโซเดียมเป็นหลัก โดยจะกำหนดค่าโซเดียมและอัตราภาษีแบบขั้นบันได

ความสำเร็จจากภาษีความหวาน สู่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ

นับตั้งแต่เริ่มจัดเก็บภาษีความหวานในปี 2560 พบว่าผู้ประกอบการได้ปรับลดปริมาณความหวานในผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการจัดเก็บภาษีความหวานระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ส่งผลให้ตลาดเครื่องดื่มที่มีปริมาณความหวานน้อยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

สถิติที่น่าสนใจ:

  • ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice) เพิ่มขึ้นจากเพียง 216 รายการในปี 2558-2560 เป็น 1,863 รายการในเดือนมีนาคม 2566
  • สินค้าเครื่องดื่มที่มีปริมาณความหวานน้อยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
  • เครื่องดื่มที่มีปริมาณความหวานมากมีจำนวนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ภาษีเพื่อสุขภาพ: นวัตกรรมทางภาษีเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนไทย

ผู้ประกอบการไทยปรับตัว-ปรับสูตร รับกระแสสุขภาพและภาษีใหม่

ความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นในวงการอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งผู้ผลิตเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่อย่างโค้กและเป๊ปซี่ ที่หันมาให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ "โลว์ ชูการ์" มากขึ้น ขณะที่บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพแล้วถึง 115 รายการใน 5 กลุ่มอาหาร

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า "เนสท์เล่มีแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยนำเอาความเชี่ยวชาญจากทีมงานศูนย์วิจัยทั่วโลกมาพัฒนานวัตกรรมอาหารที่มีโภชนาการที่ดี มีรสชาติอร่อย ให้กับผู้บริโภค โดยมุ่งเน้นลดสารอาหารที่ก่อให้เกิด NCDs เช่น น้ำตาล ไขมัน โซเดียม"

ด้านบริษัท อาเจ ไทย จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม "บิ๊กโคล่า" ก็ได้ปรับสูตรผลิตภัณฑ์เพื่อรองรับมาตรการภาษีมาเป็นเวลานาน ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

ประโยชน์ที่ประชาชนไทยได้รับจากนโยบายภาษีเพื่อสุขภาพ

  1. ทางเลือกสุขภาพที่มากขึ้น - ผู้บริโภคมีตัวเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยที่รสชาติและรูปลักษณ์ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก
  2. ลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs - การลดการบริโภคน้ำตาลและโซเดียมช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
  3. ยกระดับคุณภาพชีวิต - ประชาชนได้บริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการที่ดีขึ้น
  4. ส่งเสริมการตัดสินใจที่ชาญฉลาด - ผู้บริโภคมีความตระหนักรู้มากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบของการบริโภคน้ำตาลและโซเดียมต่อสุขภาพ

ก้าวต่อไปของนโยบายภาษีเพื่อสุขภาพ

กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตยังคงมุ่งมั่นพัฒนานโยบายภาษีเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงสาธารณสุข ผู้ประกอบการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลดบริโภคเค็ม เพื่อให้มาตรการภาษีดำเนินการไปในทิศทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

ภาษีเพื่อสุขภาพ ไม่เพียงแต่เป็นการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ และช่วยให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้นในระยะยาว