"พิชัย"แจงสภาจัด“งบ 69”จำเป็นต้องขาดดุล เหตุไทยยังไม่โตพอ

28 พ.ค. 2568 | 12:47 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ค. 2568 | 13:02 น.

"พิชัย ชุณหวชิร"แจงสภา “งบ 69” จำเป็นต้องขาดดุล ในสถานการณ์ที่ไทยยังโตไม่พอ ย้ำต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ พึ่งพาในประเทศมากขึ้น ยันมีแผนลดรายจ่าย-ปรับระบบราชการ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ที่รัฐสภา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2569 วงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาท 

โดยตอบข้ออภิปรายของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านว่า แม้จะเห็นด้วยกับข้อห่วงใยหลายประการ แต่การขาดดุลในงบประมาณปีนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากประเทศไทยยังเติบโตไม่เพียงพอและจำเป็นต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่กับการปรับโครงสร้างในระยะยาว

“ผมกังวลใจในฐานะคนไทย เข้าใจว่าสิ่งที่ทุกคนต้องการคือการให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการผลิตที่มั่นคง เกิดการจ้างงาน ช่องว่างความเหลื่อมล้ำลดลง และสร้างระบบเศรษฐกิจที่สมดุล แต่ขณะนี้พบว่าเครื่องจักรเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ภาคการลงทุนของเอกชน หายไปครึ่งหนึ่ง ทำให้ไม่เกิดการจ้างงานและการบริโภค”

นายพิชัย กล่าวต่อว่า แม้จะมีข้อวิจารณ์เรื่องการขาดดุลงบประมาณกว่า 8 แสนล้านบาทต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งดูเหมือนเป็นตัวเลขสูงถึง 4% ของจีดีพี แต่ในทางทฤษฎีงบประมาณ รัฐบาลยังสามารถบริหารจัดการได้ เพราะมีการชำระคืนเงินต้นปีละ 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ตัวเลขขาดดุลสุทธิเหลือราว 7 แสนล้านบาท หรือ 3% ของจีดีพี ซึ่งยังอยู่ในระดับที่รับได้

“เรารู้ว่าเราขาดดุล แต่เราก็มีแผนทยอยลดรายจ่ายในระยะต่อไป ต้องปรับปรุงปัญหาเรื้อรังให้ได้ พร้อมกับสร้างรายได้จากในประเทศให้มากขึ้น ไม่ใช่พึ่งพาการส่งออกเหมือนในอดีต” รองนายกฯและรมว.คลังกล่าว

สำหรับกรณีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบ 1.57 แสนล้านบาท นายพิชัย ยอมรับว่า มีข้อจำกัด แต่ยืนยันว่าเป็นการวางรากฐานเพื่อให้พื้นที่ท้องถิ่นสามารถร่วมวางแผนพัฒนาเชิงโครงสร้าง ซึ่งกว่า 90% ของโครงการที่เสนอมานั้น อยู่ภายใต้กรอบแนวทางที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยจัดทำไว้ รวมมูลค่ามากกว่า 4 ล้านล้านบาท

พร้อมชี้ว่า งบประมาณปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะต้องหันมาเน้นการผลิตเพื่อการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ทั้งยอมรับว่า เห็นด้วยกับแนวคิดการปรับระบบราชการให้ทันสมัย ลดขนาดองค์กร และได้เตรียมแผนงานไว้แล้ว 

“งบประมาณที่เราทำในปี 69 นี้จำเป็นต้องขาดดุล เพราะไทยยังไม่โตพอ แต่เราจะไม่ทิ้งเป้าหมายระยะยาว ทั้งเรื่องการสร้างความเข้มแข็งของระบบภาษี การลงทุนที่มีประสิทธิภาพ และการบริหารหนี้ให้อยู่ในระดับสมดุลกับจีดีพี” นายพิชัย กล่าวทิ้ง ท้าย

ทั้งนี้ การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2569 ยังอยู่ระหว่างการอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยจะมีการลงมติเห็นชอบในวาระแรกในวันเสาร์ที่ 31 พ.ค.นี้