วันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.00 น. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ในวาระแรก โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อที่ประชุมถึงหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยระบุว่า งบประมาณที่เสนอมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ สร้างความยั่งยืนในระยะยาว และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวม 3,780,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้าให้เป็นงบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยประมาณการรายได้สุทธิของรัฐหลังหักการจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ที่ 2,920,600 ล้านบาท และตั้งวงเงินกู้ชดเชยการขาดดุลไว้ที่ 860,000 ล้านบาท
นายกรัฐมนตรีระบุว่า การจัดสรรงบประมาณในปี 2569 ดำเนินตามกรอบยุทธศาสตร์ 6 ด้าน และอีก 1 รายการหลัก ได้แก่ :
1.ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง 415,327.9 ล้านบาท (11%)
2.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 394,611.6 ล้านบาท (10.5%)
3.ยุทธศาสตร์ด้านพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 605,927.3 ล้านบาท (16%)
4.ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 942,709.2 ล้านบาท (24.9%)
5.ยุทธศาสตร์ด้านการเติบโตอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 147,216.9 ล้านบาท (3.9%)
6.ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบราชการ 605,441.6 ล้านบาท (16%)
รวมถึงรายการค่าดำเนินการภาครัฐ ซึ่งจัดสรรไว้ 669,365.5 ล้านบาท (17.7%) โดยในจำนวนนี้รวมถึง
งบฉุกเฉินและจำเป็น 123,960 ล้านบาท
งบเพื่อการบริหารหนี้ภาครัฐ 421,864.4 ล้านบาท
งบชดใช้เงินคงคลัง 123,541.1 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจ รัฐบาลคาดว่า GDP ในปี 2569 จะเติบโตที่ระดับ 2.3-3.3% โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคในประเทศ การลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ขณะที่อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 0.5-1.5% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลราว 2.3% ของ GDP
สถานะหนี้สาธารณะ ณ มีนาคม 2568 อยู่ที่ 12.08 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 64.4% ของ GDP ซึ่งยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังที่ไม่เกิน 70% โดยมีเงินคงคลัง ณ วันที่ 30 เม.ย. 2568 ที่ 252,124.8 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 1.75% เพื่อรับมือความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและภาวะเงินเฟ้อที่อ่อนตัวลง ส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศของไทย ณ สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 237,045.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.4 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น สะท้อนความมั่นคงด้านฐานะการเงินระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่า ภายใต้ข้อจำกัดด้านรายได้และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อรักษาเสถียรภาพ และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
โดยงบประมาณที่จัดสรรจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้เกิดผลต่อการพัฒนาประเทศ และคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างแท้จริงในทุกมิติ ทั้งด้านความมั่นคง การศึกษา สาธารณสุข โครงสร้างพื้นฐาน และเศรษฐกิจสีเขียวต่อไป