คลังรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่  หวังดันรายได้รัฐพ้นวิกฤต

17 พ.ค. 2568 | 03:01 น.
อัปเดตล่าสุด :17 พ.ค. 2568 | 03:01 น.

กระทรวงการคลังรื้อใหญ่โครงสร้างภาษี หวังเพิ่มรายได้รัฐจาก 14% เป็น 18% ของ GDP ปรับระบบจัดเก็บรายได้ให้สอดคล้องเศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมศึกษาภาษีรายได้เชิงลบและปรับเกณฑ์ภาษี VAT เพื่อความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว

ในยุคที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง การบริหารการคลังของประเทศจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น ทันสมัย และสอดรับกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สำหรับประเทศไทย ซึ่งใช้งบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องมาหลายปี การปฏิรูประบบรายได้ภาครัฐ จึงกลายเป็นวาระแห่งชาติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

คลังรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่  หวังดันรายได้รัฐพ้นวิกฤต

ขณะที่แผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวนยังพบว่า แผนความต้องการกู้เงินระยะปานกลางในปีงบประมาณ 2568-2571) จะสูงถึง 781,316 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนหนี้สาธาณะต่อจีดีพีสูงถึง 68.6% เกือบเต็มเพดานที่กำหนดไว้ 70%  

"รายได้ของรัฐวันนี้ไม่พอกับภาระความต้องการ” นี่คือความท้าทายใหญ่ที่กระทรวงการคลังกำลังเผชิญอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่อง “เก็บภาษีให้มากขึ้น” แต่คือการรื้อ โครงสร้างรายได้ทั้งระบบ ให้สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจและพฤติกรรมของประชาชนในโลกยุคใหม่ 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า เรื่องที่กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างผลักดันในปัจจุบันคือ การปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ เพื่อให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นการจัดเก็บรายได้ของรัฐจึงมีความท้าทาย เพราะเราใช้งบประมาณขาดดุลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปฏิรูปรายได้นั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องภาษีอย่างเดียว แต่ต้องเป็นเรื่องรายได้อื่นๆ ของรัฐบาลด้วย 

คลังรื้อโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่  หวังดันรายได้รัฐพ้นวิกฤต
 ทั้งนี้ การที่จะทำให้รายได้ทางการคลังสูงขึ้น มีหลายปัจจัยได้แก่ เศรษฐกิจขยายตัว รายได้ก็จะดีขึ้น แต่ขณะนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโตต่ำ จึงทำให้การจัดเก็บรายได้ไม่พอรายจ่าย ฉะนั้นจึงจําเป็นต้องมีโครงสร้างภาษี โครงสร้างรายได้ที่ดี

สิ่งที่เคยดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป จะไม่ใช่โครงสร้างที่ดี หากมีการทบทวนในอัตราที่เหมาะสม ก็จะทำให้สถานการณ์รายได้กลับมาสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน 

ดังนั้น วันนี้จึงมีคณะกรรมการปฏิรูปภาษีที่ลงไปดูเรื่องโครงสร้างรายได้ทั้งหมดอย่างจริงจัง เราวางเป้าหมายว่า จะต้องเสร็จภายในปีงบประมาณนี้

ภาพการปรับโครงสร้างครั้งนี้จะต้องเปลี่ยนแปลงไปเป็นจากเดิมเยอะ แล้วบางตัวก็อาจจะเป็นการเก็บภาษีใหม่ รวมทั้งทบทวนภาษีบางตัว ที่ยังไม่มีการจัดเก็บ หรือบางตัวยกเลิกไป และการปรับอัตราเดิมให้สอดคล้องสถานการณ์ อาจจะมีทั้งการปรับอัตราขึ้นและลง  

อย่างไรก็ตาม การจะขึ้นภาษี ต้องทำในช่วงเวลาที่เหมาะสม และต้องทำให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลได้มีการรัดเข็มขัดแล้ว ดังนั้นเพื่อให้ประชาชนและสังคมเข้าใจ รัฐบาลจึงได้จัดทำงบประมาณปี 2569 แทบจะไม่โตจากปีงบ 2568 โดยได้มีการจัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป จากปกติการจัดทำงบประมาณแต่ละปีจะโตขึ้นทุกปี 

สำหรับเรื่องภาษีใหม่ๆ ได้ศึกษาการจัดเก็บภาษีในรูปแบบ Negative income tax หรือ “ภาษีรายได้เชิงลบ” โดยศึกษาเรื่องนี้ไว้นานแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะข้อมูลกระจัดกระจาย แต่ขณะนี้ข้อมูลมีความพร้อมที่จะดำเนินการตามแนวคิดที่จะทำ Negative income tax แล้ว ฉะนั้นต่อไปนี้ การบริหารจัดการงบประมาณจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

“หากนำ Negative income tax มาใช้แล้ว ผู้ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ก็ต้องเสียภาษี ส่วนผู้ที่มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ รัฐบาลจะต้องไปเติมเต็มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน ผ่านการจัดสวัสดิการให้ ดังนั้นงบสวัสดิการที่เคยกระจายอยู่ในแต่ละหน่วยงานก็จะมารวมอยู่ที่เดียวกัน” 

ขณะเดียวกัน ยังมีแนวคิดที่จะจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (Vat) สำหรับผู้ที่มีรายได้จากการประกอบธุรกิจที่ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี หลังจากที่พบว่า มีผู้ประกอบธุรกิจจำนวนมากหลีกเลี่ยงการยื่นจดทะเบียนภาษี Vat โดยพยายามที่จะหาช่องทางกระจายรายได้เพื่อให้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องจดทะเบียน Vat ทำให้เราสูญเสียรายได้จากส่วนนี้ 

“เราอยู่ระหว่างการพิจารณาในเรื่องนี้คาดว่า ภายใน 1 เดือนจะได้ข้อสรุป เบื้องต้น กำลังดูว่า จะให้มีการจัดเก็บภาษี Vat แบบเหมาจ่ายดีหรือไม่สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เช่น 1.5 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเป็นการจูงใจให้ผู้ที่รายได้เหล่านี้ ได้เข้าสู่ระบบ Vat มากขึ้น แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จะต้องพิจารณาให้รอบคอบอีกครั้ง” 

นายลวรณย้ำว่า ตั้งเป้าหมายว่า ในยุคสมัยที่ตนดำรงปลัดกระทรวงการคลัง มีความตั้งใจที่จะปรับสมดุลการจัดเก็บรายได้ เพื่อกลับมาใช้งบประมาณสมดุล หรือขาดดุลน้อยลง ซึ่งปัจจุบันเราจัดเก็บรายได้เฉลี่ยปีละ 14% และจะปรับให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มเป็น 18%

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการที่จะกระโดดมาอีก 4% เป็น 18% นั้นเลยทำได้ยาก เพราะเป็นเม็ดเงินกว่า 6-7 แสนล้านบาท อย่างน้อยเราจะดูแลให้การขาดดุลลดน้อยลง 

สำหรับการจัดเก็บรายได้อย่างมีประสิทธิภาพคือหัวใจของการบริหารการคลังที่ยั่งยืน ในบริบทของประเทศไทยที่เผชิญกับความท้าทายด้านเศรษฐกิจ การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และโครงสร้างรายได้ที่ล้าสมัย การปฏิรูประบบรายได้ภาครัฐจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น

กระทรวงการคลังได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการสร้างระบบรายได้ที่โปร่งใส เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างฐานการคลังที่มั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว และให้ประชาชนสามารถเติบโตไปพร้อมกับรัฐได้อย่างยั่งยืน

กระทรวงการคลังในวันนี้ ไม่ควรเป็นแค่หน่วยงานที่ “เก็บรายได้และใช้จ่ายตามงบประมาณ” เท่านั้น แต่ควรเป็นผู้ออกแบบอนาคตของระบบการคลังไทย ให้สอดรับกับโลกยุคใหม่ ที่พฤติกรรมการใช้จ่าย การลงทุน และการเคลื่อนย้ายเงินทุนไร้พรมแดนอย่างแท้จริง

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,097 วันที่ 18 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568