เปิดรายงานเครดิตบูโร Q1/2568 เสียงจากความเงียบของลูกหนี้ 3.28 ล้านคน

14 พ.ค. 2568 | 09:37 น.
อัปเดตล่าสุด :14 พ.ค. 2568 | 09:37 น.

รายงานเครดิตบูโรไตรมาส 1/2568 เผยหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาทพุ่งถึง 3.28 ล้านราย สะท้อนความเปราะบางเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย เสียงเงียบของลูกหนี้รายย่อยที่ยังดิ้นรน กลับไม่ถูกรับฟังจากนโยบาย

ภาวะหนี้สินครัวเรือนไทยในระบบเครดิตบูโร ไตรมาส 1/2568 ยังสะท้อนความเปราะบางที่ฝังลึก ด้วยหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLs) กว่า 1.19 ล้านล้านบาท และกลุ่มลูกหนี้หนี้ต่ำกว่าแสนบาทถึง 3.28 ล้านคน เสียงที่เลือนหายไปจากนโยบาย แต่ยังดิ้นรนอยู่จริงในสังคม 

“ถ้าเศรษฐกิจดี หนี้เสียก็จะลด” คือวาทกรรมพื้นฐานที่สถาบันการเงินหลายแห่งใช้เป็นคำอธิบายต่อการเติบโตของหนี้ครัวเรือน แต่ในไตรมาส 1 ของปี 2568 ข้อมูลจากเครดิตบูโรกลับบอกเล่าอีกภาพที่แตกต่าง ภาพของ “ความเงียบ” จากคนเป็นหนี้นับล้านราย ที่อาจยังไม่เสียหายต่อระบบธนาคาร แต่กำลังสั่นสะเทือนต่อระบบสังคม

ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 ระบุว่า หนี้ครัวเรือนรวมของประเทศอยู่ที่ 16.2 ล้านล้านบาท ขณะที่ หนี้ที่มีการจัดเก็บในระบบเครดิตบูโรจากสถาบันการเงินกว่า 160 แห่ง อยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มีหนี้เสีย หรือ NPLs รวมกันกว่า 1.19 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.8% ของหนี้ทั้งหมดในระบบ 

แม้ยอด NPLs จะลดลงจากเดือนมกราคมราว 30,000 ล้านบาท แต่ยังเป็นยอดที่ครอบคลุมลูกหนี้มากถึง 5.15 ล้านคน 9.13 ล้านบัญชี และสิ่งที่น่าจับตาคือ “กลุ่มหนี้เสียต่ำกว่า 1 แสนบาท” ซึ่งมีจำนวน 3.28 ล้านคน 4.44 ล้านบัญชี รวมมูลค่ากว่า 1.2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของ NPL ทั้งระบบ

หนี้ในกลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญคือ “ไม่มีหลักประกัน” เป็นหนี้บริโภคเล็กน้อย ผูกพันกับชีวิตจริงของประชาชนส่วนใหญ่ และส่วนใหญ่เจ้าหนี้ได้ “กันสำรองเต็มตามมาตรฐานบัญชี” ไปเรียบร้อยแล้ว 

ฟ้อง 10ปี คุ้มหรือไม่?  

คำถามเชิงนโยบายที่เริ่มดังก้องขึ้นคือ การเลือกใช้กระบวนการฟ้องร้อง บังคับคดี ดำเนินตามกฎหมายต่อกลุ่มหนี้ต่ำแสนบาท คุ้มหรือไม่? เพราะในเชิงบัญชี แม้หนี้เหล่านี้จะถูกกันสำรองแล้ว บางส่วนขายต่อให้ AMC ไปแล้วในราคาต่ำ แต่ในเชิงสังคม ลูกหนี้กลุ่มนี้ “ยังมีชีวิต” และ “ยังพยายามดิ้นรน” 

ขณะเดียวกัน กลุ่มลูกหนี้ที่เคยอยู่ใน NPLs แล้วกลับมาปรับโครงสร้างหนี้และผ่อนจ่ายได้ต่อเนื่อง ก็ยังไม่ได้รับการดูแลหรือ “รางวัล” จากการสู้ชีวิตของพวกเขา 

“คุณสู้ เราช่วย” ควรเป็นจริงหรือแค่โฆษณา? 

โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ออกแบบมาเพื่อลูกหนี้รายย่อยในช่วงปี 2567 แม้จะตั้งใจดี แต่กลับพบว่า ยังห่างไกลเป้าหมาย ทั้งในแง่จำนวนคนและวงเงินที่ให้ความช่วยเหลือจริง ขณะที่ลูกหนี้ที่ทำ DR (Debt Restructuring) แล้วผ่อนชำระได้ตามเงื่อนไขกลับ “ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วม” เพราะเขาไม่ได้เป็น NPLs  

นี่คือความย้อนแย้งที่นโยบายสาธารณะต้องกล้าทบทวน  เพราะ คนที่ไม่ยอมไหลไปเป็น NPLs นั่นแหละที่สมควรได้รับ “ยาสมานแผล” บ้าง 

 เขื่อนใหญ่ชื่อ “DR” กำลังพองตัว 

สิ่งหนึ่งที่น่าจับตาคือการเติบโตของการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (DR) ซึ่งในไตรมาส 1/2568 มีมูลค่ารวมสูงถึง 1.12 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น QoQ ถึง 31.7% สะท้อนสัญญาณว่าลูกหนี้จำนวนมากเริ่มติดขัด และเจ้าหนี้เองก็กำลัง “ตั้งเขื่อน” สกัดไม่ให้หนี้ไหลลง NPLs  

ในขณะที่การปรับโครงสร้างหนี้แบบ TDR หลังจากเป็น NPL ไปแล้วกลับแทบไม่ขยับ YoY ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “ต้นน้ำ” กำลังมีปัญหาอย่างหนัก ขณะที่ “ปลายน้ำ” นั้นเริ่มตัน  

SM ลดลง แต่ยังใหญ่ 

กลุ่มหนี้ “กำลังจะเสีย” หรือ SM (Special Mention) มีมูลค่า 5.75 แสนล้านบาท ลดลง YoY 10.8% จาก 6.44 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นทิศทางที่ดีในเชิงตัวเลข แต่หากวิเคราะห์เชิงลึก ต้องยอมรับว่า “การหดตัว” นี้ส่วนหนึ่งมาจากการไหลไป DR มากกว่าการชำระหนี้ได้ดีขึ้น 

บทสรุป: หนี้เล็กไม่เล็กเสมอไป

หนี้เสียต่ำแสนบาท อาจเป็นยอดบัญชีที่ดูน้อยในสายตาสถาบันการเงิน แต่กลับเป็นเส้นแบ่งความหวังของ “คนธรรมดา” หลายล้านคน

เสียงของลูกหนี้เหล่านี้อาจไม่ดังพอในเวทีนโยบาย แต่เขาคือแรงงาน พ่อค้าแม่ขาย เจ้าหน้าที่รัฐ นักเรียนจบใหม่ ฯลฯ ที่ยัง “อยู่ในระบบ” ยังฝันถึงการกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี

หากมีมาตรการ “ช่วยกลุ่มเล็กแต่จำนวนมาก” นี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการ “ล้างหนี้บางส่วน” การ “จัดทำโครงการนิรโทษหนี้จำกัดวงเงิน” หรือแม้แต่การจัดโครงการช่วยปลดล็อกประวัติเครดิตสำหรับหนี้ที่เกิน 5 ปีไปแล้ว อาจเป็นทางออกที่สร้างผลคูณให้เศรษฐกิจและสังคมมากกว่าการปล่อยให้พวกเขาถูกระบบผลักออกไปอย่างเงียบๆ

 

หน้า 13 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,096 วันที่ 15 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568