วันนี้ (25 เมษายน 2568) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเรื่องการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ร่วมกับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ และน.ส.ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า ที่ประชุมได้หารือถึงแผนเร่งด่วนเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการสวมสิทธิแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยเพื่อการส่งออก ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ไทยต้องเร่งดำเนินการก่อนที่จะไปเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ในเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ที่ประชุมเห็นว่า ในแนวทางแก้ปัญหาการสวมสิทธิแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าของไทยเพื่อการส่งออกนั้น จำเป็นต้องดึงอำนาจในการออกใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือ Certificate of Origin (CO) ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญสำหรับการทำธุรกิจนำเข้า - ส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ จากเดิมที่เปิดให้หอการค้าไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สามารถเป็นผู้ออกใบรับรองได้ ให้กลับมาอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์แทน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า สินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามกติกา และป้องกันการสวมสิทธิจากต่างประเทศ
"สินค้าที่สหรัฐฯ จับตาดูอยู่มีอยู่ประมาณ 49 ชนิด และยังเพิ่มสินค้าที่ต้องจับตาอีก 16 ชนิด ที่ต้องการให้ใครช่วยเฝ้าระวัง โดยจะเข้าไปตรวจสอบถึงโรงงาน กระบวนการผลิต และแหล่งที่มาของสินค้า แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดต้องตรวจสอบ CO หรือใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า เดิมที สอท. และหอการค้า สามารถออกใบดังกล่าวได้ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่จะมีการปรับเปลี่ยนให้อยู่กับส่วนกลางที่เดียวแทน" นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า ขณะนี้ไทยได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิแล้ว โดยมีเจ้าหน้าที่จากสหรัฐฯ มาสังเกตการณ์กระบวนการทำงานทั้งหมด ซึ่งสหรัฐฯ พอใจกับวิธีการตรวจสอบที่เป็นไปตามมาตรฐานที่ต้องการ หากผลการตรวจสอบเป็นที่น่าพอใจ จะมีการดำเนินการตรวจสอบอย่างต่อเนื่องและอาจเพิ่มรายการสินค้าที่ต้องตรวจสอบในอนาคต ซึ่งไทยจะต้องค่อยๆ ปรับวิธีการให้เหมาะสม
ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้กำหนดแผนแก้ปัญหาทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย โดยจะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้า โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งมักมีต้นทุนต่ำและราคาถูกผิดปกติ
สำหรับแผนระยะสั้น จะตรวจสอบสินค้านำเข้าทันทีที่เข้าประเทศ หากพบว่าสินค้าใดไม่สามารถอธิบายแหล่งที่มาของต้นทุน ไม่ได้มาตรฐานตามที่องค์การอาหารและยากำหนด หรือมีคุณภาพต่ำ จะถูกระงับการจำหน่ายทันที ซึ่งแตกต่างจากในอดีตที่กระบวนการตรวจสอบใช้เวลานาน
พร้อมกันนี้ จะเข้มงวดกับสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งมักไม่มีฉลากหรือใบรับรองมาตรฐาน โดยจะแจ้งให้เจ้าของแพลตฟอร์มนำสินค้าดังกล่าวออกจากระบบ พร้อมกำหนดให้ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะขายที่ใดในโลก ต้องจดทะเบียนในประเทศไทยเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในประเทศ
ขณะที่การตรวจสอบธุรกิจนอมินี รองนายกฯ รับุว่า จะตรวจสิบอย่างจริงจัง โดยจะเข้าไปตรวจสอบสัดส่วนการถือหุ้น โดยเฉพาะในส่วน 51% ที่เป็นของคนไทย ว่าเข้าข่ายเป็นนอมินีหรือไม่ และมีการลงทุนจริงหรือเป็นเพียงชื่อ โดยจะร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการ รวมถึงตรวจสอบการถือครองที่ดินด้วย
อย่างไรก็ตามในส่วนของแผนระยะกลางและระยะยาว จะมีการทบทวนกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้เป็นสากลมากขึ้น พร้อมปรับปรุงระบบควบคุมและกำกับดูแลให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ เขายอมรับว่าปัจจุบันยังมีสินค้าหรือบริการบางประเภทที่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติดำเนินการ ซึ่งควรพิจารณาเปิดโอกาสเพราะจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย การปรับปรุงเหล่านี้จะแสดงให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศไทยไม่ได้ปิดกั้น แต่กำลังพัฒนาระบบให้เป็นสากลมากขึ้น