เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569 ใครรุ่ง ใครร่วง ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

24 ธ.ค. 2568 | 21:30 น.

เลขา สศก. เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569 ใครรุ่ง ใครร่วง ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’ มาแรง ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง เร่งปรับตัวเชิงนโยบาย นำนวัตกรรมม พลิกเกษตรไทยให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล

KEY

POINTS

  • สินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาดีในปี 2569 ได้แก่ ไก่เนื้อ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง และทุเรียน เนื่องจากความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศยังคงแข็งแกร่ง
  • สินค้าเกษตรที่น่าเป็นห่วงและมีความเสี่ยงคือข้าวและยางพารา โดยข้าวเผชิญภาวะอุปทานล้นตลาดโลก ขณะที่ยางพารามีผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ความต้องการใช้กลับชะลอตัว
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ว่าจีดีพีภาคเกษตรโดยรวมในปี 2569 จะขยายตัวร้อยละ 2.0-3.0 ซึ่งอาจทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี

ในปี 2569  หรือปีม้าที่จะมาถึงทิศทางสินค้าเกษตรไทยจะเป็นอย่างไรนั้น สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้วิเคราะห์ไว้ในเบื้องต้น พบในหลายสินค้ามีทิศทางแนวโน้มที่ดี แต่อีกหลายสินค้ายังน่าเป็นห่วง

เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569  ใครรุ่ง ใครร่วง  ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง  ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่าแนวโน้มเศรษฐกิจผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคเกษตร (จีดีพีเกษตร) ในปี 2569 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ในช่วงร้อยละ 2.0-3.0 หรือมีมูลค่า 723,200-730,300 ล้านบาท  ซึ่งหากเป็นไปตามที่คาดจะเป็นนิวไฮหรือสถิติใหม่ ในรอบ 3 ปี  เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ปริมาณนํ้าฝนที่มีมากกว่าในปี 2568 คาดจะทำให้เกษตรกรมีผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น

 

 

เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569  ใครรุ่ง ใครร่วง  ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง  ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

 

เริ่มจาก “มันสำปะหลัง”  ราคาคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากผลผลิตมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์ยังคงมีต่อเนื่อง ประกอบกับประเทศเพื่อนบ้านคือ สปป.ลาวมีนโยบายลดการส่งออกหัวมันสำปะหลังสดไปต่างประเทศ(ซึ่งรวมถึงการส่งออกมาไทย) และการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา จากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศจะส่งผลให้ราคามันสำปะหลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“ปาล์มน้ำมัน” คาดราคาเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานชีวภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศยังมีอย่างต่อเนื่อง  สอดคล้องในตลาดโลกอุปทานสินค้าจะตึงตัว เนื่องจาก ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตปาล์มน้ำมันรายใหญ่ของโลก มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการผสมในใบโอดีเซลจากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 50 และในปี 2569 สำหรับราคาน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวันและราคาน้ำมันเรพซีดเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณผลผลิตในภูมิภาคทะเลดำและยุโรปลดลง ไม่เพียงพอกับความต้องการนำเข้าของทั่วโลก ด้านราคานํ้ามันถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการเพื่อใช้เป็นวัตดิบเชื้อเพลิงชีวภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569  ใครรุ่ง ใครร่วง  ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง  ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

“ไก่เนื้อ”  คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการบริโภคในประเทศที่เพิ่มขึ้นและความต้องการบริโภคเนื้อไก่ของต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ประกอบมีการจัดการฟาร์มให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของลูกค้า อย่างไรก็ดีปัจจัยเสี่ยงค่าเงินบาทที่มีความผันผวนในทิศทางแข็งค่า ส่งผลกระทบในการแข่งขันราคาสินค้าไก่ของไทยกับประเทศคู่แข่ง

เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569  ใครรุ่ง ใครร่วง  ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง  ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

นอกจากนี้ราคาสินค้าคาดว่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีในปี 2569 คือ กลุ่มผลไม้ ได้แก่ ลำไย ทุเรียน มังคุด และเงาะ เนื่องจากความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศยังคงมีอยู่มาก ประกอบกับภาครัฐมีนโยบาย พัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐานและส่งเสริมการแปรรูปสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม มาตรการของภาครัฐในการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งในด้านการตลาด และการยกระดับคุณภาพผลผลิตให้ผ่านเกณฑ์ที่ประเทศคู่ค้ามีความเข้มงวดในปี 2568 จะส่งผลต่อเสถียรภาพของราคาต่อเนื่องถึงปี 2569

สำหรับสินค้าที่น่าเป็นห่วง ได้แก่ “ข้าว”   เนื่องจากอุปทานข้าวในตลาดโลกมีมากกว่าความต้องการ โดยเฉพาะจากอินเดียที่กลับมาส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาวอีกครั้ง ขณะเดียวกันประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ อาทิ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเชีย มีการสำรองข้าวไว้อย่างเพียงพอจึงชะลอการสั่งซื้อ ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดโลกลดลงอย่างรวดเร็ว และส่งผลกระทบต่อราคาที่เกษตรกรขายได้ในประเทศ ขณะที่การส่งออกข้าวในปี 2569 มีการประเมินจะส่งออกได้ 7-7.5 ล้านตัน ตํ่ากว่าในปี 2568

 

เปิดโผสินค้าเกษตร ปี 2569  ใครรุ่ง ใครร่วง  ‘ไก่-ปาล์ม-มัน-ทุเรียน’มาแรง  ‘ข้าว-ยาง’ เสี่ยง

ตามด้วย “ยางพารา”  ปี 2569 คาดว่าผลผลิตยางพาราโลกจะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ประกอบกับหลายประเทศผู้ผลิตได้มีการขยายพื้นที่ปลูกในปี 2563 อาทิ อินโดนีเซีย เมียนมา กัมพูชา ซึ่งจะเริ่มให้ผลผลิตในปีนี้  ขณะที่คาดว่าความต้องการใช้ยางพาราของโลกจะปรับตัวลดลงจากปีที่ผ่านมา และส่งออกจะลดลงด้วย   เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลง โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าหลัก อาทิ จีน สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ทำให้ความต้องการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับยางพาราของโลกลดลง และยังมีความเสี่ยงของนโยบายการค้าระหว่างระประเทศที่มีความไม่แน่นอน ส่งผลต่อความต้องการใช้ยางพาราของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยางพารา โดยเฉพาะยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์อาจชะลอตัวลง

นายพีรพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ภาคเกษตร เป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจและสังคมไทย ทั้งด้านความมั่นคงทางอาหาร การจ้างงาน และการสร้างรายได้ แต่กำลังเผชิญความท้าทายรอบด้านจากเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กติกาการค้า ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ต้นทุนการผลิตที่ผันผวน เทคโนโลยีที่เปลี่ยนเร็ว และโครงสร้างประชากรสูงวัย ขณะที่อนาคตยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ดังนั้นไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวเชิงนโยบาย บริหารจัดการ และนำนวัตกรรมมายกระดับการผลิต เพื่อพลิกเกษตรไทยให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,160 วันที่ 25 - 27 ธันวาคม พ.ศ. 2568