นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ที่ปรึกษาด้านหนี้สาธารณะ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า นโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ยังไม่ส่งผลต่อแผนการระดมทุนของรัฐบาลไทย และไม่กระทบต่อแผนการช่วยเหลือทั้งทางการเงินและอื่นๆ จากสถาบันการเงินต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเอดีบี เวิลด์แบงก์ และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการระดมเงินทุนของรัฐบาลนั้น คงต้องประเมินถึงต้นทุนการระดมเงินอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ในเร็วๆนี้ สบน.มีแผนจะออกพันธบัตรออมทรัพย์ในวงเงินประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับสถานการณ์การขึ้นภาษีของทรัมป์นั้น ล่าสุดได้ยืดระยะเวลาออกไปอีก 3 เดือนเกือบทุกประเทศยกเว้นจีนและประเทศเพื่อนบ้านอเมริกา เช่น เม็กซิโก แคนาดา ดังนั้น ผลกระทบของการขึ้นภาษีตามที่ประกาศทั้งหมดจึงยังไม่เกิดจริง มีเพียงแต่ผลกระทบอันเกิดจากการคาดการณ์และความเชื่อมั่นของตลาดที่ลดน้อยลง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่พบ คือ yield curve หรือผลตอบแทนพันธบัตรของอเมริกาในรุ่นระยะปานกลางถึงยาวปรับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากนักลงทุนทยอยขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในรุ่นดังกล่าว เพราะขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจอเมริกาในระยะยาวที่เกรงว่าจะเกิด stagflation จากนโยบายภาษี จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐมีต้นทุนการกู้เงินที่สูงขึ้น และภาคเอกชนสหรัฐย่อมต้องมีต้นทุนในการกู้ยืมที่สูงขึ้นสอดคล้องกันด้วย
ส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยยังได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องจากไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับการยืดระยะเวลาในการถูกขึ้นภาษีผลกระทบจึงยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้
อีกทั้ง การที่ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐในปัจจุบันอ่อนลง จากการคาดการณ์เงินเฟ้ออเมริกาที่อาจจะมากขึ้นอันเป็นผลจากการขึ้นภาษี ทำให้ในช่วงที่ผ่านมามีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี สถานการณ์สงครามการค้ามีความผันผวนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจึงยังคงจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและไม่อาจประเมินผลกระทบในเชิงมูลค่าได้อย่างเต็มที่ในตอนนี้
“Gov debt น่าจะไม่กระทบเพราะ debt stock (หนี้สะสม)เป็น fix ส่วนมาก ส่วนเอกชนอาจได้รับผลที่ธนาคารยังตรึงในการให้สินเชื่อและการออกหุ้นกู้ที่ investor อาจ risk aversion ” ( นักลงทุนจะหันไปลงทุนในทรัพยสินที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อความปลอดภัย)