ไทยพร้อมจริงหรือ ลดเกินดุลสหรัฐ 50% ใน 5 ปี  หลัง "ทีมไทยแลนด์" เจรจาภาษีทรัมป์ 23 เม.ย. นี้  

19 เม.ย. 2568 | 12:12 น.
อัปเดตล่าสุด :19 เม.ย. 2568 | 13:17 น.

ไทยพร้อมจริงหรือหรือ ลุยลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ 50% ใน 5 ปี  หลัง"ทีมไทยแลนด์” เจรจาลดผลกระทบภาษีทรัมป์  23 เม.ย. นี้   กับข้อเสนอหลัก5ข้อ ขณะนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์  ชี้ รัฐบาลไทยไม่ควรเร่งรีบ ต้องตกผลึกข้อเสนอไม่เช่นนั้น จะเสียเปรียบได้

ความปั่นป่วนจากกำแพง “ภาษีทรัมป์” หรือการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ ของ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ต้องการให้ ทุกชาติทั่วโลกเข้าเจรจา เพื่อความได้เปรียบที่สหรัฐพึงได้

ขณะไทย มีเป้าหมายเข้าเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯเช่นกันโดยชูไฮไลต์  ลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ 50% ใน 5 ปี  ขณะข้อมูลจาก United States Census Bureau ระบุว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ สูงถึง 4.15 หมื่นล้านดอลลาร์ จัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ

ทั้งนี้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า การปรับเป้าลดดุลการค้ากับสหรัฐฯลง 50 % ใน5ปี  นั้น ย่อมทำได้ แต่ทางออกของสินค้าที่จะส่งออกจะไปไหน  หรือ ต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของต้นทุนของไทยเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องจับตามอง

ขณะ นักลงทุนจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไทยได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยเองก็อุ้ม จีน มาอย่างต่อเนื่อง จากการ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และสวมเสื้อสัญชาติไทย เพื่อนำสินค้าออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่ง การเจรจาครั้งนี้เท่ากับไทยออกตัว รับแทน สินค้าจีนด้วย ซึ่งเรื่องนี้ มองว่ารัฐบาลไทยควรตรวจสอบการเข้ามาลงทุนของจีนด้วยโดยเฉพาะสินค้า ไม่เช่นนั้นไทยเองจะเสียเปรียบ 

สอดรับกับ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์  จะออกมายืนยันว่าประเทศไทยไม่ควรเร่งรีบ เจรจากับรัฐบาลทรัมป์ เพราะถึงอย่างไร กำแพงภาษีที่มีต่อไทย ย่อมเกิดขึ้นแม้ทรัมป์อาจจะเห็นใจยอมลดภาษีลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เก็บภาษีนำเข้า

โดยเฉพาะภาคการผลิต ภาคเกษตรกร อาจเสียเปรียบ ที่สำคัญ ประเทศไทย ยังไม่ตกผลึก หรือมีความชัดเจน จะเสนออะไรเพื่อต่อรองในทางกลับกันไทยควรผนึกกำลังกับชาติอาเซียนรวมกลุ่มกันต่อรองจากประเทศมหาอำนาจจะเหมาะสมกว่า  

สำหรับรัฐบาลไทย นำโดย “ทีมไทยแลนด์”  มีเป้าหมายเดินทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯวันที่ 23 เมษายน นี้ โดยมีความหวังที่ว่าจะต่อรอง  Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บจากไทยสูงถึง 36% ให้ลดลง  

การเจรจาครั้งนี้ นำทีมโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เจรจา รมว.คลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์กับ ข้อสรุป หลัก5 ข้อ  จากการหารือบนโต๊ะประชุม ที่มี นางสาว แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน

ครอบคลุมความร่วมมือด้านอาหารแปรรูป การเพิ่มนำเข้าสินค้าจำเป็น การเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การคุมเข้มถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ การตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 50% ภายใน 5 ปี

พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว  หลังจากที่โดนัลด์ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ขึ้นภาษีศุลกากร ประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อบังคับใช้กับประเทศที่เกินดุลการค้า หรือมีการกีดกันทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยประเทศไทยถูกประกาศเก็บภาษีในส่วนนี้ 36%

อย่างไรก็ตามแม้ว่า ทรัมป์ได้ ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษี  สำหรับประเทศต่างๆ ออกไป 90 วัน ซึ่งในช่วงที่เลื่อนการจัดเก็บภาษีออกไปก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ให้ประเทศต่างๆเข้ามาเจรจา ในเงื่อนไขที่จะต้องมีข้อเสนอที่สหรัฐฯพึงพอใจ

สำหรับประเทศไทยทีมเจรจาที่เรียกว่า “ทีมไทยแลนด์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประเทศไทยได้คิวในการเจรจากับสหรัฐฯในวันที่ 23 เม.ย.นี้ โดยมั่นใจว่าในรายละเอียดที่มีการเตรียมการไว้ข้อเสนอของประเทศไทยนั้นมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะพูดคุยต่อรองกับทางสหรัฐฯเพื่อให้ได้ประโยชน์กับทั้งสองประเทศ

นอกจากความพร้อมในเรื่องของบุคคลในการเดินทางไปเจรจาและหารือกับสหรัฐฯ ประเทศไทยได้มีการเตรียมข้อเสนอไปให้สหรัฐฯพิจารณา โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ในลักษณะของ Executive Summary ให้ทางสหรัฐฯพิจารณา ประกอบไปด้วยสาระสำคัญ 5 ข้อซึ่งมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐฯลง50%ได้แก่

1. เสริมความร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็งของทั้งสองประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปและส่งออกต่อไปยังตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีการหารือร่วมกับภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

2. เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจในประเทศ

3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวนกว่า 11,000 รายการ ลงประมาณ 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีการปรับลดโควตาและข้อจำกัดต่าง ๆ พร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์

4. บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด ไทยจะใช้มาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า "Made in Thailand" โดยสินค้าจากประเทศที่สามซึ่งส่งออกผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มการติดตามและเฝ้าระวัง เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ

และ 5. ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้วกว่า 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ต้องจับตาว่าในที่สุดแล้ว"ทีมไทยแลนด์" จะบรรลุข้อตกลง ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯเพื่อลดอัตราภาษีลงได้มากน้อยแค่ไหน 23 เม.ย.นี้ รู้ผล