ความปั่นป่วนจากกำแพง “ภาษีทรัมป์” หรือการขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariff) ซึ่งเป็นกระบวนยุทธ์ ของ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ต้องการให้ ทุกชาติทั่วโลกเข้าเจรจา เพื่อความได้เปรียบที่สหรัฐพึงได้
ขณะไทย มีเป้าหมายเข้าเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯเช่นกันโดยชูไฮไลต์ ลดการเกินดุลกับสหรัฐฯ 50% ใน 5 ปี ขณะข้อมูลจาก United States Census Bureau ระบุว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2024 ไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐ สูงถึง 4.15 หมื่นล้านดอลลาร์ จัดอยู่ในอันดับที่ 10 ของประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐ
ทั้งนี้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า การปรับเป้าลดดุลการค้ากับสหรัฐฯลง 50 % ใน5ปี นั้น ย่อมทำได้ แต่ทางออกของสินค้าที่จะส่งออกจะไปไหน หรือ ต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง และความได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของต้นทุนของไทยเอง ซึ่งเรื่องนี้ต้องจับตามอง
ขณะ นักลงทุนจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไทยได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ซึ่งต้องยอมรับว่าไทยเองก็อุ้ม จีน มาอย่างต่อเนื่อง จากการ ได้รับการส่งเสริมการลงทุน และสวมเสื้อสัญชาติไทย เพื่อนำสินค้าออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่ง การเจรจาครั้งนี้เท่ากับไทยออกตัว รับแทน สินค้าจีนด้วย ซึ่งเรื่องนี้ มองว่ารัฐบาลไทยควรตรวจสอบการเข้ามาลงทุนของจีนด้วยโดยเฉพาะสินค้า ไม่เช่นนั้นไทยเองจะเสียเปรียบ
สอดรับกับ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ จะออกมายืนยันว่าประเทศไทยไม่ควรเร่งรีบ เจรจากับรัฐบาลทรัมป์ เพราะถึงอย่างไร กำแพงภาษีที่มีต่อไทย ย่อมเกิดขึ้นแม้ทรัมป์อาจจะเห็นใจยอมลดภาษีลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เก็บภาษีนำเข้า
โดยเฉพาะภาคการผลิต ภาคเกษตรกร อาจเสียเปรียบ ที่สำคัญ ประเทศไทย ยังไม่ตกผลึก หรือมีความชัดเจน จะเสนออะไรเพื่อต่อรองในทางกลับกันไทยควรผนึกกำลังกับชาติอาเซียนรวมกลุ่มกันต่อรองจากประเทศมหาอำนาจจะเหมาะสมกว่า
สำหรับรัฐบาลไทย นำโดย “ทีมไทยแลนด์” มีเป้าหมายเดินทางเจรจาการค้ากับสหรัฐฯวันที่ 23 เมษายน นี้ โดยมีความหวังที่ว่าจะต่อรอง Reciprocal Tariff ที่สหรัฐฯ ประกาศเก็บจากไทยสูงถึง 36% ให้ลดลง
การเจรจาครั้งนี้ นำทีมโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เจรจา รมว.คลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์กับ ข้อสรุป หลัก5 ข้อ จากการหารือบนโต๊ะประชุม ที่มี นางสาว แพทองธาร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
ครอบคลุมความร่วมมือด้านอาหารแปรรูป การเพิ่มนำเข้าสินค้าจำเป็น การเปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การคุมเข้มถิ่นกำเนิดสินค้า และการส่งเสริมการลงทุนไทยในสหรัฐฯ การตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 50% ภายใน 5 ปี
พร้อมเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในฐานะพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว หลังจากที่โดนัลด์ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขึ้นภาษีศุลกากร ประเทศต่างๆทั่วโลกเพื่อบังคับใช้กับประเทศที่เกินดุลการค้า หรือมีการกีดกันทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยประเทศไทยถูกประกาศเก็บภาษีในส่วนนี้ 36%
อย่างไรก็ตามแม้ว่า ทรัมป์ได้ ประกาศเลื่อนการจัดเก็บภาษี สำหรับประเทศต่างๆ ออกไป 90 วัน ซึ่งในช่วงที่เลื่อนการจัดเก็บภาษีออกไปก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ให้ประเทศต่างๆเข้ามาเจรจา ในเงื่อนไขที่จะต้องมีข้อเสนอที่สหรัฐฯพึงพอใจ
สำหรับประเทศไทยทีมเจรจาที่เรียกว่า “ทีมไทยแลนด์” นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่าประเทศไทยได้คิวในการเจรจากับสหรัฐฯในวันที่ 23 เม.ย.นี้ โดยมั่นใจว่าในรายละเอียดที่มีการเตรียมการไว้ข้อเสนอของประเทศไทยนั้นมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะพูดคุยต่อรองกับทางสหรัฐฯเพื่อให้ได้ประโยชน์กับทั้งสองประเทศ
นอกจากความพร้อมในเรื่องของบุคคลในการเดินทางไปเจรจาและหารือกับสหรัฐฯ ประเทศไทยได้มีการเตรียมข้อเสนอไปให้สหรัฐฯพิจารณา โดยทำเป็นลายลักษณ์อักษร ในลักษณะของ Executive Summary ให้ทางสหรัฐฯพิจารณา ประกอบไปด้วยสาระสำคัญ 5 ข้อซึ่งมีเป้าหมายลดการเกินดุลกับสหรัฐฯลง50%ได้แก่
1. เสริมความร่วมมือในธุรกิจอาหารแปรรูปไทยและสหรัฐฯ มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ด้วยการใช้จุดแข็งของทั้งสองประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการแปรรูปและส่งออกต่อไปยังตลาดโลก นอกจากนี้ยังมีการหารือร่วมกับภาคเกษตรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญทางการเมืองของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
2. เพิ่มปริมาณการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯไทยมีแผนเพิ่มการนำเข้าสินค้าจำเป็นจากสหรัฐฯ อาทิ พลังงาน (น้ำมันดิบ, LNG, อีเทน), เครื่องบินและชิ้นส่วน, อาวุธยุทโธปกรณ์ และผลิตภัณฑ์เกษตรอย่างข้าวโพด ถั่วเหลือง และเนื้อวัว เพื่อกระชับความสัมพันธ์เชิงพาณิชย์ และตอบสนองความต้องการของภาคเศรษฐกิจในประเทศ
3. เปิดตลาดและลดอุปสรรคทางการค้า การลดภาษีนำเข้าภายใต้ระบบ MFN จำนวนกว่า 11,000 รายการ ลงประมาณ 14% รวมถึงการลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของความร่วมมือ เพื่อส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีการปรับลดโควตาและข้อจำกัดต่าง ๆ พร้อมเปิดตลาดให้สินค้าสหรัฐฯ เช่น เชอรี่ แอปเปิ้ล ข้าวสาลี ข้าวโพด และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์
4. บังคับใช้กฎหมายถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเคร่งครัด ไทยจะใช้มาตรการเข้มงวดในการตรวจสอบและบังคับใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์สินค้า "Made in Thailand" โดยสินค้าจากประเทศที่สามซึ่งส่งออกผ่านไทยไปยังสหรัฐฯ โดยจะเพิ่มการติดตามและเฝ้าระวัง เพื่อลดความเสี่ยงและรักษาภาพลักษณ์สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ
และ 5. ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ ภาครัฐสนับสนุนการขยายการลงทุนของเอกชนไทยในสหรัฐฯ ภายใน 4 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน เช่น โครงการลงทุน LNG ในรัฐอลาสก้า และการลงทุนในฟาร์มเกษตรขนาดใหญ่ ปัจจุบันเอกชนไทยมีการลงทุนในสหรัฐฯ แล้วกว่า 70 แห่ง ใน 20 มลรัฐ สร้างงานมากกว่า 16,000 ตำแหน่ง คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ต้องจับตาว่าในที่สุดแล้ว"ทีมไทยแลนด์" จะบรรลุข้อตกลง ในการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯเพื่อลดอัตราภาษีลงได้มากน้อยแค่ไหน 23 เม.ย.นี้ รู้ผล