“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” บทบาทใหม่กับการอนุรักษ์วัฒนธรรม

08 เม.ย. 2568 | 06:30 น.
อัปเดตล่าสุด :08 เม.ย. 2568 | 06:49 น.

“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมธนารักษ์ ฉายภาพยุทธศาสตร์ มุ่งอนุรักษ์วัฒนธรรม ยกระดับที่ราชพัสดุเคลื่อนเศรษฐกิจ ลุยมอบสัญญาเช่าปี 68 รวม 3.9 พันราย

กรมธนารักษ์ภายใต้วิสัยทิศน์ บริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน เพื่อการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน มีพันธกิจหลักในการบริหารจัดการที่ราชพัสดุอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ประเมินราคาทรัพย์สินตามหลักการสากล เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนทางเศรษฐกิจและสังคม 

ผลิตและบริหารจัดการเหรียญกษาปณ์ให้สอดคล้องกับความต้องการในระบบเศรษฐกิจ และจัดแสดง เผยแพร่อนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพย์สินมีค่าของรัฐตามหลักวิชาการเพื่อสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม

ภาระกิจแรกของอธิบดี กรมธนารักษ์คนใหม่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ หลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 ได้ฤกษ์เปิดยุทธศาสตร์การบริหารกรมธนารักษ์ โดยพาสื่อมวลชนไปเข้าเยี่ยมชมพิพิธตลาดน้อย พิพิธภัณฑ์ชุมชนแห่งใหม่ของกรมธนารักษ์ หนึ่งในโมเดลของการนำที่ดินมาใช้ เพื่อส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน

นายเอกนิติ ฉายภาพว่า กรมธนารักษ์ดูแลทรัพย์สินของประเทศจำนวนมาก เมื่อได้หารือกับผู้บริหาร และทีมงานในกรมแล้ว จึงมียุทธศาสตร์ที่จะยกระดับกรมธนารักษ์ให้เป็นกรมชั้นนำของประเทศ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ทรัพย์สินของภาครัฐที่ดูแล เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และจุดไฮไลท์สำคัญ คือ "การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย"

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์

“หัวใจสำคัญที่เราจะผลักดันคือ วัฒนธรรม เพราะกรมมีกองทรัพย์สินมีค่าของแผ่นดิน ที่เข้ามาช่วยดูแลตลาดน้อย พัฒนาและปรับปรุงโรงกลึงขนาดใหญ่ ซึ่งทำชิ้นส่วนประกอบเรือ เครื่องจักรและโรงสีข้าว แต่หลังเลิกกิจการ พื้นที่ถูกทิ้งร้างและไม่ได้ใช้ประโยชน์"

ดังนั้น กรมธนารักษ์จะนำมาพัฒนาชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ร่วมกับสถาบันอาศรมศิลป์และชาวชุมชนตลาดน้อย ปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุแปลงนี้ให้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และการท่องเที่ยว และจัดแสดงเทศกาลการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์

ทั้งนี้ ธนารักษ์มีทรัพย์สินในส่วนที่ราชพัสดุ จำนวน 12.5 ล้านไร่ โดยกรมจะนำพื้นที่ดังกล่าวมาใช้ยกระดับดูแลเศรษฐกิจ ในพื้นที่ที่สำคัญ ขณะในด้านสังคม กรมจะช่วยให้ชาวบ้าน มีที่อยู่อาศัย โดยจะยกระดับไม่ได้มอบเฉพาะที่ราชพัสดุเพียงอย่างเดียว จะเข้าไปพัฒนาให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้นด้วย โดยจะไปจับมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้มีรายได้ยั่งยืน

สำหรับการบริหารที่ราชพัสดุ กรมธนารักษ์ได้ดำเนินโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” มอบสัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน และต้องการบริหารจัดการที่ดินราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุด

โดยนำที่ดินราชพัสดุในความครอบครองของส่วนราชการ แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยให้แก่พี่น้องประชาชน เพื่อความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต ทำให้เข้าถึงด้านสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ และบริการสาธารณะของภาครัฐ

ในปี พ.ศ. 2567 กรมธนารักษ์ได้ดำเนินการมอบสัญญาเช่าไปแล้ว 12 พื้นที่ รวม 3,200 ราย เนื้อที่มากกว่า 11,587 ไร่ แบ่งเป็น เพื่ออยู่อาศัย 1,530 ราย เนื้อที่ประมาณ 499 ไร่ และเพื่อการเกษตร 1,670 ราย เนื้อที่ประมาณ 11,000 ไร่

ส่วนปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  มีเป้าหมายที่จะมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุอย่างต่อเนื่องอีก 13 พื้นที่ ได้แก่ จ.หนองบัวลำภู นครสวรรค์ มุกดาหาร เพชรบูรณ์ อุดรธานี กาฬสินธุ์ สระบุรี เชียงราย ลำปาง นครราชสีมา กาญจนบุรี ราชบุรี และสุราษฎร์ธานี คาดว่า จะมีผู้ได้รับสิทธิการเช่าไม่น้อยกว่า 3,900 ราย

“เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” บทบาทใหม่กับการอนุรักษ์วัฒนธรรม

ขณะที่ในด้านสิ่งแวดล้อม เรามีแหล่งน้ำ เช่น บึงบรเพชร ซึ่งเป็นที่ราชพัสดุ สามารถนำมาใช้ประโยชน์ โดยการทำโซลาร์ฟาร์มได้ เพื่อทำพลังงานทดแทน แทนพลังงานสะอาดได้ ส่วนการอนุรักษ์วัฒนธรรมจะเป็นบทบาทใหม่ที่กรมธนารักษ์จะทำ  เพราะเรามีตึกเก่าๆ จำนวนมาก ที่จะสามารถนำมายกระดับอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยได้

นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ จะทำแผนแม่บท เพื่อยกระดับเหรียญกษาปณ์ให้เป็นเหรียญที่ระลึก ซึ่งเหรียญกษาปณ์บางรุ่นเป็นที่รู้จักในกลุ่มนักสะสมทั้งในและต่างประเทศและมีมูลค่าสูง รวมทั้งสอดคล้องกับนโยบายซอฟต์ พาวเวอร์ของรัฐบาลด้วย

ขณะที่ในด้านเหรียญนั้น ต่อไปเราจะใช้การเล่าเรื่องราวผ่านเหรียญในการอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย ที่ทำให้คุกคนเห็นประวัติศาสตร์ความเป็นไทย ซึ่งจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้ โดยเราได้มีการหารือในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งจริงแล้วเหรียญสะสมไทย เป็นสิ่งที่ต้องการสะสม ส่วนนี้เราจะต่อยอดมูลค่าเพิ่ม สอดคล้องกับนโยบายซอฟต์ พาวเวอร์ของรัฐบาลด้วย อย่างไรก็ตาม เราต้องมีมาตรฐานในการทำ

นอกจากนี้ กรมธนารักษ์ยังมีภารกิจในด้านการประเมินที่ดิน ซึ่งจะมีการทบทวนทุกๆ 4 ปี โดยรอบถัดไป จะเป็นปี 2570 สำหรับในการประเมินที่ดินรอบใหม่จะใช้เทคโนโลยี อาทิ ดาวเทียม สำรวจที่ดินโดยละเอียด ในระดับแปลง ซึ่งจะทำให้ราคาประเมินที่ดินใกล้เคียงราคาตลาดมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน ยังเป็นการช่วยให้ประหยัดต้นทุนในการประเมินราคา

“ที่ผ่านราคาประเมินที่ดินของธนารักษ์ค่อนข้างต่ำกว่าราคาตลาด ทำให้คนส่วนใหญ่ ไม่นำไปอ้างอิง เวลาขาย หรือใช้เป็นราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน รวมทั้ง ราคาที่ดินใหม่จะทำเป็นรายแปลงทั้งหมด รวมทั้งอนาคตจะเชื่อมข้อมูลกับกรมที่ดินต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลการแบ่งแปลงที่ดิน เรียลไทม์มากขึ้น”

ส่วนด้านภารกิจจัดเก็บรายได้ของกรมธนารักษ์ ในปีงบประมาณ 2568 กรมได้รับเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ ตามเอกสารงบประมาณที่กรมมีเป้า 10,600 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวจากปีที่แล้วเล็กน้อย ซึ่งมั่นใจว่า กรมจะสามารถจัดเก็บรายได้ตามเป้าหมายแน่นอน