ทรัมป์ ขึ้นภาษีกระทบจีดีพีไทย 1% “คลัง” พร้อมปรับสมดุลการค้า

03 เม.ย. 2568 | 11:10 น.
อัปเดตล่าสุด :04 เม.ย. 2568 | 08:27 น.

“คลัง” เผยทรัมป์ ขึ้นภาษีตอบโต้ กระทบจีดีพีไทย 1% ถกภาครัฐ-เอกชน เตรียม 3 มาตรการปรับสมดุลการค้า ก่อนเจรจาสหรัฐใน 2-3 สัปดาห์

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับภาครัฐและเอกชน เพื่อรับมือกรณีโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ว่า ประเทศไทยเกินดุลการค้าสหรัฐฯ กว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.3-1.4 ล้านล้านบาท โดยส่งออกไปยังสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท

ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบสหรัฐฯ กว่า 4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 70% สหรัฐจึงได้ออกประกาศมาตรการเก็บภาษีตอบโต้ประเทศไทย 37% ซึ่งหากไทยไม่ได้ออกมาตรการอะไรเลย จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย 1% อย่างไรก็ตาม จากการหารือร่วมกับทุกภาคส่วนดังกล่าว ได้เตรียมมาตรการรองรับ 3 มาตรการ เพื่อไปหารือกับสหรัฐฯ ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ได้แก่

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

1. การสร้างความสมดุลการค้าสหรัฐฯ ทั้งการนำเข้า และส่งออก โดยการเพิ่มภาษีขาเข้าของสหรัฐฯ เพื่อให้การส่งออกน้อยลง หรือทำให้ประเทศคู่ค้ารับสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เราจึงมีแนวคิดที่สร้างสรรค์ แทนที่จะลดการส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่จะส่งออกให้เข้มแข็ง โดยปรับให้เป็นคู่ค้าที่มีการนำเข้าสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อประเทศไทย

“ไทยมีศักยภาพในด้านภาคเกษตร และภาคอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันเรามีสินค้าเกษตรจำนวนมากที่ต้องนำเข้า และยังมีความสามารถในการแปรรูปอาหาร แต่ยังส่งออกไม่พอ นั่นหมายถึง ไทยขาดโอกาส จึงจะใช้โอกาสนี้นำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น เพื่อแปรรูป และส่งออกมากยิ่งขึ้น นั่นหมายความว่า เราต้องการส่งออก และนำเข้าไปยังสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น เพื่อให้การเกินดุลการค้าของไทยลดลง”

ทรัมป์ ขึ้นภาษีกระทบจีดีพีไทย 1% “คลัง” พร้อมปรับสมดุลการค้า

2. แก้กฎหมายภาษีนำเข้าไทย เพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยจากข้อมูลของสภาอุสาหกรรมฯ พบว่า ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะนำเข้าจากสหรัฐฯ ประมาณ 4-5 รายการ เช่น ข้าวโพด และปลาทูน่า เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ช่องว่างการได้เปรียบดุลการค้าของไทยกับสหรัฐลดลง ฉะนั้น เราต้องเพิ่มขีดความสามารถในการนำเข้าของที่ประเทศไทยต้องการ เพื่อสนับสนุนการส่งออกให้ได้

“เรายังมีปัญหาเรื่องการนำเข้าอยู่ เพราะยังมีกฎเกณฑ์ เงื่อนไขต่างๆ ต้องไปดูรายละเอียดการแก้กฎเกณฑ์การนำเข้า และสนับสนุนให้มีการแปรรูป แล้วส่งออก ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ผลิตปลาทูน่าที่ส่งออกรายใหญ่ แต่ตัวเลขการส่งออกไม่ได้มาก เพราะเราไม่มีวัตถุดิบ เมื่อจะนำเข้ามาก็กังวลว่าจะกระทบผู้เลี้ยงในประเทศ หากมีการดูแลผู้เลี้ยงทูน่าในประเทศ และมีการคุ้มครองราคา ก็จะเป็นโอกาสไทย”

นอกจากนี้ จะมีการทำมาตรการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้ามากขึ้น เพื่อเป็นหลักฐานว่ามีการผลิตจากในประเทศไทยจริง เพราะที่ผ่านมาบางสินค้าไม่สามารถรับรองว่าผลิตจากไทยก็ถูกเรียกเก็บภาษีมากขึ้น เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และแผงโซล่าเซลล์ เป็นต้น

ทรัมป์ ขึ้นภาษีกระทบจีดีพีไทย 1% “คลัง” พร้อมปรับสมดุลการค้า

และ 3. จะมีการทบทวนภาษีและมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tariff barriers) ซึ่งเดิมไทยมีการออกมาตรการเหล่านี้ มากีดกันบางสินค้าเพื่อไม่ให้กระทบกับการผลิตในประเทศ เช่น กรณีรถมอเตอร์ไซค์ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เราตั้งภาษีสูง จนทำให้สหรัฐไม่ได้ส่งออกรถฮาร์ลีย์มาไทยแล้ว ฉะนั้น ไทยก็ไม่จำเป็นต้องตั้งภาษีสูงอีกต่อไป เพราะกำแพงภาษีเหล่านี้อาจจะทำให้สหรัฐกังวลเรื่องภาษีของไทย ทั้งนี้ 90% ของมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี เราทราบเรื่องนี้อยู่แล้วว่าสหรัฐฯ ต้องการอะไร เพราะได้มีการส่งเอกสารมาไปถึงทุกๆ ประเทศ

“เราจะใช้วิกฤตครั้งนี้ เป็นโอกาสในการจัดทัพใหม่ และเรายินดีที่จะปรับสมดุลทางการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในเชิงการนำเข้า และส่งเสริมการส่งออก มีผลทำให้ยอดการได้เปรียบดุลการค้านี้ เมื่อเทียบกับสัดส่วนแล้วน้อยลง และจะเป็นคู่ค้าที่ดี”