นายคริส แบรดลีย์ (Chris Bradley) หุ้นส่วนอาวุโสบริษัทที่ปรึกษาระดับโลก แมคคินซีย์ แอนด์ คอมพานี (McKinsey & Company) ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานฉลองครบรอบ 50 ปีของ MFC ภายใต้แนวคิด “The World Next Opportunities and Beyond” ร่วมกับเนชั่น กรุ๊ป เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2568 ว่า ความทรงจำส่วนตัวและเปรียบเทียบประเทศไทยในปี 2518 กับปัจจุบัน ตนเองเกิดในปี 2518 ซึ่งเป็นปีเดียวกับการก่อตั้ง MFC และเคยได้มาเยือนประเทศไทยตอนอายุ 5 ขวบ
ยังจดจำบรรยากาศของไทยในอดีตได้เป็นอย่างดี ทั้งฝนตกน้ำท่วม การดื่มโค้กจากถุงพลาสติก เห็นพระเดินบิณฑบาต และบรรยากาศตลาด ซึ่งทำให้เขาตกหลุมรักประเทศนี้มาจนถึงปัจจุบัน ในปี 2518 ประเทศไทยมีประชากรเพียงประมาณ 40 ล้านคน โดยมีเพียง 20% ที่อาศัยในเมือง สัดส่วน GDP ไม่สูงนัก ความยากจนอยู่ในระดับสูง และเพียง 30% ของเด็กได้เข้าเรียนในระดับประถมหรือมัธยม การศึกษาระดับสูงยิ่งหายากกว่า โดยมีเพียง 3% เท่านั้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 70 ล้านคน GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นถึง 7 เท่า มีการพัฒนาทั้งในด้านโรงงานและเทคโนโลยี อัตราความยากจนลดลงเหลือเพียง 6% และการเข้าถึงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 50% สำหรับเด็ก นับเป็นการเดินทางที่น่าประทับใจของประเทศไทย
ในขณะที่กลุ่มประเทศอาเซียนที่มีการเติบโตอย่างมาก จากภูมิภาคที่มีความสำคัญน้อยมากในเศรษฐกิจโลก ปัจจุบันมีประชากรกว่า 600 ล้านคน และมีบทบาทสำคัญในเวทีโลกมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในภูมิทัศน์ทางธุรกิจทั่วโลก โดยเปรียบเทียบบริษัทชั้นนำ 10 อันดับแรกในดัชนี S&P 500 ระหว่างปี 2548 (2005) และ 2568 (2025) พยว่า ในปี 2548 บริษัทชั้นนำประกอบด้วยธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งน้ำมันและก๊าซ ธนาคาร การค้าปลีก โดยมีเพียงไมโครซอฟท์เป็นตัวแทนบริษัทเทคโนโลยีเพียงรายเดียวในรายชื่อ
แต่เมื่อมาถึงปี 2568 ภูมิทัศน์ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไมโครซอฟท์ยังคงอยู่ แต่อีก 9 ตำแหน่งที่เหลือถูกแทนที่ด้วยบริษัทใหม่ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในโครงสร้างอุตสาหกรรมโลก สะท้อนให้เห็นถึงภาพของ "Arena of Competition" หรือ "สนามการแข่งขันใหม่" ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ไม่ทำตามกฎการแข่งขันแบบเดิม โดยมีลักษณะสำคัญ 2 มิติ
อุตสาหกรรมในสนามการแข่งขันใหม่นี้ ได้แก่ ซอฟต์แวร์, คลาวด์, รถยนต์ไฟฟ้า, เซมิคอนดักเตอร์, และบริษัทอินเทอร์เน็ต ซึ่งแม้จะมีรายได้เพียง 10% ของรายได้ภาคเอกชนทั้งหมด แต่สร้างการเติบโตในมูลค่าตลาดถึง 50% แสดงถึงความโดดเด่นในแง่ของการเติบโตอย่างรวดเร็ว การวิจัยและพัฒนาในระดับสูง
ที่น่าตกใจคือ 32% ของมูลค่าตลาดทั่วโลกในปัจจุบันมาจากบริษัทที่ไม่มีอยู่เลยในปี 2548 ยกตัวอย่างเช่น Tesla ที่ในปี 2548 เป็นเพียงสตาร์ทอัพขนาดเล็ก แต่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทมูลค่ามหาศาล
นอกจากนี้ แบรดลีย์ยังชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในสนามการแข่งขันใหม่นี้มีขนาดมหาศาล โดยเพียงหกบริษัทชั้นนำได้ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาเป็นจำนวนมากในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา สร้างการแข่งขันที่เปรียบเสมือนการแข่งขันโอลิมปิก ที่ทุกคนต้องทุ่มเทและลงทุนอย่างเต็มที่เพื่อชัยชนะ
เมื่อพิจารณาถึงการกระจายตัวของสนามการแข่งขันใหม่ทั่วโลก นายแบรดลีย์เปิดเผยตัวเลขที่น่าวิตก: ประมาณ 80% ของสนามการแข่งขันใหม่อยู่ในสหรัฐอเมริกาและจีน
ตั้งแต่ปี 2518 สหรัฐฯ สามารถสร้างบริษัทใหม่ที่มีมูลค่าเกิน 10,000 ล้านดอลลาร์ได้ถึง 75 บริษัท ในขณะที่ยุโรปทำได้เพียง 10 บริษัท และบริษัทในสหรัฐฯ มีขนาดและมูลค่าสูงกว่าบริษัทในยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ
"ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ อาเซียนมีสัดส่วนในสนามการแข่งขันใหม่นี้น้อยกว่า 1% ซึ่งแบรดลีย์ตั้งคำถามว่า อาเซียนจะสามารถเข้าไปมีบทบาทในสนามการแข่งขันใหม่นี้ได้หรือไม่ และจะเปลี่ยนจากรูปแบบเดิมไปสู่อนาคตที่เปลี่ยนไปอย่างไรอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและโอกาสสำหรับประเทศไทยและอาเซียน"
อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญ แบ่งเป็น 6 กลุ่มหลัก
อุตสาหกรรมเหล่านี้คาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 29 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของการเติบโตของ GDP โลกในอนาคต แต่ปัจจุบัน อาเซียนมีส่วนแบ่งเพียง 4% เท่านั้น อย่างไรก็ดี โอกาสในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูงถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์ โดยอาเซียนมีจุดแข็งในฐานะผู้ผลิตและห่วงโซ่อุปทานระดับโลก พร้อมมีประชากรกว่า 600 ล้านคน ซึ่งมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ
สุดท้ายนี้ สิ่งที่อยากฝากให้กลับไปคิกและวิเคราะห์ต่อยอด คือ จะสามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในอีก 50 ปีข้างหน้า และเป็นผู้ชนะในสนามแข่งขันใหม่ได้อย่างไร ท่ามกลางความท้าทายสำคัญในปัจจุบัน เช่น การเปลี่ยนแปลงด้านประชากรศาสตร์ที่จะนำไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (ด้วยอัตราการเกิดปัจจุบันประมาณ 1.5) และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของจีนที่ส่งผลกระทบทั่วโลก