จากมติที่ประชุมคณะกรรมการการยางแห่งประเทศไทย (บอร์ด กยท.) ได้อนุมัติวงเงิน 2,280 ล้านบาท เพื่อดูดซับยางพาราออกจากตลาดไม่น้อยกว่า 2.5 แสนตันต่อปี และเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยได้เริ่มดำเนินการซื้อยางก้อนถ้วยจากสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผ่านตลาดกลางยางพาราของ กยท. 4 แห่ง ได้แก่ ตลาดกลางยางพาราจังหวัดเชียงราย หนองคาย บุรีรัมย์ และระยอง จำนวนรวมกว่า 33,000 ตัน (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2568) ก่อนนำไปแปรรูปเป็นยางแท่ง STR 20 เพื่อจำหน่ายให้ผู้ประกอบการแปรรูปยางพารา และกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศนั้น
นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มนํ้ามันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงโครงการดังกล่าว มองว่าเป็นวิธีการที่ไม่ใช่การแก้ปัญหาราคายาง ทางภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางและปาล์มฯ ไม่เห็นด้วย และมองว่าควรจะใช้งบ 2,280 ล้านบาท นำมาใช้เยียวยาชาวสวนยางในภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากมหาอุทกภัยครั้งล่าสุดมากกว่า
“จากมีข่าวมียางล้นตลาด เวลานี้ส่งผลทำให้ราคายางร่วงทันที สวนทางกับที่ผ่านมา ทั้งภาคเหนือและภาคใต้ฝนตกนํ้าท่วมต่อเนื่อง 5-6 เดือน ผลผลิตไม่มี แล้วยางมาจากไหน และการใช้มาตรการดูดซับยาง เป็นการทำลายยางแผ่นรมควันในภาคใต้ทั้งหมด และส่งผลกระทบทำให้โรงรมยางขาดทุน ล่าสุดหลายโรงปิดกิจการลงไปแล้วจำนวนมาก และยังมาจ้าง 3 บริษัทใหญ่ผลิตแทนการใช้โรงรมยางในพื้นที่ ทั้งที่ กยท. เองมีโรงงานรมยางถึง 6 โรง อาทิ ที่อุดรธานี และนครพนม เป็นต้น แต่ทำไมไม่ใช้โรงงานในเครือผลิต ในเรื่องนี้ต้องมีคำอธิบายที่ชัดเจน”
สอดคล้องกับแหล่งข่าวผู้ค้ายางพาราไทย ที่กล่าวว่า ในต่างประเทศราคายางพาราไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นผู้ประกอบการยังขายสินค้าไม่ได้ โรงงานก็ผลิตลดลง อานิสงส์จึงตกอยู่กับผู้รับจ้างแปรรูปยางให้ กยท. ช่วยให้อยู่ได้ แต่ผู้ประกอบการรายเล็กที่ไม่มีสัญญากับ กยท. ก็ขายของไม่ได้ ขณะเดียวกัน กยท. ซื้อของแพงไป ต้องไปแข่งในตลาดโลก เมื่อแข่งไม่ได้ต้องเก็บเป็นสต็อก ซึ่งจะคล้ายกับโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ด หรือ 2 โครงการรักษาเสถียรภาพราคายางฯ ของรัฐบาลที่ผ่านมา ทำให้กลไกตลาดเสียไป
“สำหรับทางออกที่มองว่าจะช่วยให้สามารถยกระดับราคายางได้ทุกชนิด คือให้ กยท. ยกเลิกอัตราค่าธรรมเนียมที่ผู้ส่งออกยางนอกราชอาณาจักรต้องชำระ (เงินเซสส์ / Cess) ในอัตรากิโลกรัม (กก.) ละ 2 บาท แลกกับเงินในส่วนนี้ที่จัดเก็บได้เฉลี่ยปีละ 8,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องไปบิดเบือนกลไกราคา และจะคืนกลับเป็นรายได้ชาวสวนยางได้เม็ดเต็มหน่วย”
ขณะที่ นายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เผยถึงวัตถุประสงค์ในการจ้างบริษัทใหญ่แปรรูปยาง เนื่องจากมีกำลังการผลิตสูงกว่า และมีราคาถูกกว่า ซึ่ง กยท. จะต้องทำธุรกิจ โดยจ้างผลิต 5 บาทต่อ กก. และได้มาตรฐานสินค้าที่ทั่วโลกยอมรับ หากส่งออกไปแล้วไม่ได้มาตรฐาน กยท. ยังสามารถเคลมกับโรงงานได้ด้วย แต่หากจ้างโรงงานในเครือ กยท. มีต้นทุน 8 บาทต่อ กก. หากสินค้าไม่ได้มาตรฐาน เคลมไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบ
ทั้งนี้ จากงบประมาณที่มีจำกัด และตนต้องดูแลภาพรวมของ กยท. ทั้งหมด และที่สำคัญการดูดซับยาง 2.5 แสนตัน เป็นการซื้อขายปกติในโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางเท่านั้น จากในตลาดมีผู้ซื้อไม่กี่ราย กยท. จึงจำเป็นต้องเพิ่มการแข่งขันซื้อกับเอกชน เพื่อดึงราคายางให้กลับมาปรับตัวสูงขึ้น ช่วยพยุงราคายางได้ และที่สำคัญไม่เสี่ยงถูกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบ
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจปีที่ 45 ฉบับที่ 4,159 วันที่ 21 -24 ธันวาคม พ.ศ. 2568