“สนธิรัตน์”ชี้เครื่องยนต์การท่องเที่ยวเริ่มทำงาน จี้ทบทวน“คนละครึ่ง”

31 ก.ค. 2565 | 05:24 น.

“สนธิรัตน์”ชี้สถานการณ์เศรษฐกิจ เครื่องยนต์การท่องเที่ยวเริ่มทำงาน หวังผลักดันจีดีพีปีนี้ขยายตัว จากเพิ่มการจ้างงาน การบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัว จี้ทบทวน“คนละครึ่ง”เหตุสถานการณ์เปลี่ยนไป ขณะเดียวกันยังต้องจับตาราคาพลังงาน-เงินเฟ้อต่อ

วันนี้(31 ก.ค.65) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตรมว.พลังงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระว่า 


สวัสดีวันหยุดยาวสุดสัปดาห์ทุกท่านครับ 


วันหยุดยาวสัปดาห์ 4 วันนี้ที่ผ่านมานี้ ถือเป็นอีกสัปดาห์หนึ่งตามมติครม. ในการเพิ่มวันหยุดเป็นกรณีพิเศษ (29 ก.ค. 65) หรือที่เราเรียกกันว่า “วันหยุดยาวต่อเนื่อง” เพื่อหวังกระตุ้นการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยของพี่น้องประชาชนในช่วงวันหยุดยาวนี้


เดินทางไปไหนกันบ้าง เอารูปมาแชร์กันได้นะครับ


ก็มี 3 เรื่องเอามาฝากครับ อาทิตย์นี้


1. การท่องเที่ยวกับความหวังการพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจ


ภาคการท่องเที่ยวบ้านเรานี่ถือเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและคาดว่าจะมีหวังในปีนี้ หลังมีการยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ทีผ่านมา ถือเป็นการผ่อนคลายและเปิดโอกาสให้ธุรกิจการท่องเที่ยวกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

จากข้อมูลจากกองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่ม.ค. ถึง มิ.ย. พบว่า มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศแล้วจำนวน 2.07 ล้านคน (ปีที่แล้ว 40,447 คน) โดยเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามามากสุดมาจากเอเชียตะวันออกราว 804,538 คน และหนึ่งในนั้นเป็นประเทศอาเซียนไปแล้ว 612,852 คน

 

เครื่องยนต์การท่องเที่ยวเริ่มทำงานแล้วครับ ก็หวังว่าจะสามารถผลักจีดีพีปีนี้ของเราให้ขยายตัวขึ้นได้ จากการเพิ่มการจ้างงาน และการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวขึ้น 

แต่สถานกาณ์ในปลายปีนี้ก็ยังคงน่าเป็นห่วงไม่น้อย สำหรับทั้งสถานการณ์โควิด 19 ที่ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ และโรคติดต่อเฝ้าระวังอย่าง “ฝีดาษลิง” (Monkeypox) ที่หากควบคุมไม่ดีอาจกลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติขึ้นอีกได้ 


2. คนละครึ่งกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ


ประเทศไทยมีการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมกันหลังจากโควิด 19  (K shaped) บ้างก็ยังจุดไม่ติด บ้างก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา ล่าสุดมีการกระตุ้นจากภาครัฐหวังมีการบริโภคจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นผ่าน เป๋าตัง เช่น โครงการคนละครึ่ง และการเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  


นวัตกรรมดังกล่าวในปัจจุบันน่าจะต้องทบทวนเพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก ในอนาคตที่เรากำลังเดินหน้าเข้าสู่สภาวะถดถอย  การอุดหนุนช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง (targeted subsidy) ให้ตรงจุด ตรงเป้าหมาย รักษาคนตัวเล็กทั้งหลายให้อยู่ได้บนเงินงบประมาณที่จำกัด น่าจะมีวิธีที่ดีกว่านี้ ต้องรักษาฐานรากให้อยู่ได้


สถานการณ์โลกตอนนี้ ทั้งความกังวลใจในสหรัฐฯ และจีน 2 ยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย โดยตลาดส่งออกอันดับ 1 ของเราคือสหรัฐฯ มูลค่าการส่งออกตั้งแต่ ม.ค.- มิ.ย. ปีนี้คิดเป็น 7.9 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.58 รองลงมาคือจีน 

                             “สนธิรัตน์”ชี้เครื่องยนต์การท่องเที่ยวเริ่มทำงาน จี้ทบทวน“คนละครึ่ง”
เศรษฐกิจในบ้านเขาจึงสะท้อนเศรษฐกิจบ้านเราอยู่ไม่น้อย การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ FED 0.75% และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในอนาคตจะทำให้บ้านเราชะลอตามไปด้วย เครื่องยนต์ที่ว่าอย่างการส่งออก ที่ตอนนี้กำลังอยู่ในขาขึ้น ในอนาคตอาจต้องเตรียมรับมือ!! 


3. ราคาพลังงานกับเงินเฟ้อต้องจับตาต่อ


ส่วนราคาพลังงานสัปดาห์นี้ น้ำมันและแก๊สยังคงผันผวนตามสถานการณ์การนำเข้า LNG ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ ล่าสุด กลุ่มปตท. โดย PTTGL เซ็นสัญญานำเข้า LNG จากบริษัทCheniere Energy จำนวน 1 ล้านตันต่อปี (สัญญา 20 ปี) แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพาแก๊สจากภายนอกที่จะเพิ่มขึ้นลำดับ ต่อด้วยการขึ้นค่าไฟฟ้าที่จะตามมา 


โดยในงวด ก.ย.-ธ.ค.65 กกพ. มีมติปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าไม่น้อยกว่า 68.66 สต.ต่อหน่วย และจะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยรวมพุ่ง 4.72 บาทต่อหน่วย 


ราคาพลังงานถือเป็นปัจจัยหลักเร่งอัตราเงินเฟ้อในบ้านเราตลอดช่วงที่ผ่านมา การตั้งรับอย่างเดียวแล้วเดินตามปัญหาเพื่อแก้ตามสถานการณ์อย่างเดียววันนี้ไม่พอครับ การหวังพึ่งเครื่องยนต์อย่างการท่องเที่ยว และการส่งออก ตามที่ได้กล่าวมานั้น ยังมีอุปสรรคอีกเยอะรออยู่ข้างหน้า 


วันนี้ต้องกลับมาที่การบริโภคภาคเอกชน ที่ถือเป็นโจทย์สำคัญในการแก้ไขปัญหา หากค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้นเครื่องยนต์ส่วนนี้ก็จะทรุดลงเรื่อยๆ ต้องประคับประคองให้ดีครับ ที่สำคัญวันที่ 5 ส.ค. นี้ สนค. จะแถลงดัชนีเศรษฐกิจอีกรอบ รอดูกันครับว่าเงินเฟ้อบ้านเราจะเป็นอย่างไรต่อไป