"คาร์บอน เครดิต" โอกาสสร้างรายได้ "ชาวสวนยาง" ยุคดิจิทัล

25 มิ.ย. 2565 | 02:59 น.

จับตา "คาร์บอน เครดิต : Carbon Credit" สร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้ชาวสวนยางยุคดิจิทัล หลัง ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ประกาศขับเคลื่อน Zero Carbon ตั้งเป้าเป็นสวนยาง Carbon Negative ให้ใด้ 10 ล้านไร่ภายในปี 2573 และในปี 2593

เป็นที่ทราบกันดีว่า ก๊าซเรือนกระจก มีความสำคัญต่อการรักษาระดับอุณหภูมิโลก หากมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจะทำให้อุณหภูมิโลกสูงเป็นสาเหตุสำคัญที่ ทำให้น้ำแข็งละลาย ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ความกดอากาศแปรปรวน ก่อให้เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ภัยแล้ง น้ำท่วม แผ่นดินไหวที่รุนแรง ก๊าซที่จะให้เกิดภาวะเรือนกระจกที่รู้จักกันดีคือ คาร์บอน หรือ คาร์บอนใคออกไซด์ (C02) ดังนั้นการลคคาร์บอน จึงมีส่วนสำคัญในการลดก๊าซเรือนกระจก

 

หลังจาก นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ประกาศที่จะเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนมาตรการ Zero Carbon ในภาคการเกษตร พร้อมตั้งเป้าที่จะพัฒนาสวนยางพาราให้เป็นสวนยาง Carbon Negative ให้ใด้ 10 ล้านไร่ภายในปี 2573 และในปี 2593

 

สวนยางที่ขึ้นทะเบียนไว้กับ กยท. ที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านไร่ จะเป็นสวนยาง Carbon Negative ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับประโยชน์จาก Carbon Credit

นายฌกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

Carbon Credit , Zero Carbon, Carbon Negative และCarbon Neutrality  เกี่ยวข้องกันอย่างไร

 

Carbon Credit คือ การนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต่ำกว่าเป้าหมายของหน่วยงานมาเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจก และขึ้นทะเบียนให้สามารถซื้อ-ขายได้ เปรียบเหมือนเป็นสินค้าประเภทหนึ่ง เพื่อขายให้กับประเทศพัฒนาแล้ว หรือประเทศอุดสาหกรรม หรือแม้แต่เอกชนบางราย

 

โดยหน่วยงานเหล่านี้จะซื้อ Carbon Credit ไปสำหรับการขยายขอบเขตในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง

 

Carbon Neutrality คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน หมายถึง การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกดูดกลับ หรือเรียกว่า สถานะของการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ หรือ "Zero Carbon" นั่นเอง

 

ทั้งนี้จากการวิเคราะห์เบื้องต้นคาดว่า สวนยางนอกจากจะเป็น Carbon Neutrality หรือปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์แล้ว ยังจะสามารถกักเก็บคาร์บอนได้อีกด้วย

แม้ในปัจจุบัน Carbon Credit อาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับเกษตรกรชาวสวนยาง แต่ในอนาคต Carbon Credit จะสร้างโอกาสและรายได้ให้เกษตรกรชาวสวนยางอย่างมั่นคงยั่งยืนแน่นอน 


 

ดังนั้นสวนยางพาราจึงมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนน้อยกว่าศักยภาพการกักเก็บคาร์บอน หรือเรียกว่า  “คาร์บอนติดลบ” หรือ “Carbon Negative”  ซึ่งการกักเก็บคาร์บอนของสวนยางดังกล่าว สามารถสร้างเป็น Carbon Credit  นำมาซื้อ-ขาย เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรอีกทางหนึ่ง

 

โดยภายในปี 2565 กยท. จะทำสวนยางต้นแบบ เพื่อนำไปขยายผลให้ได้ตามเป้าหมาย

"คาร์บอน เครดิต" โอกาสสร้างรายได้ "ชาวสวนยาง" ยุคดิจิทัล

ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า Carbon Credit จะมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการส่งออกสินค้าต่าง ๆ โดยเฉพาะในสหภาพยุโรป(อียู) ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ อียูใด้เคาะมาตรการ CBAM เพื่อเก็บภาษีเพิ่มสำหรับสินคำนำเข้าที่ ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต หากประเทศไทยไม่ดำเนินการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว อาจกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 952 ล้านคอลลาร์สหรัฐ

 

CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นมาตรการจัดเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกก่อนข้ามพรมแดนสำหรับสิบค้านำเข้า เริ่มเสนอเข้าสู่สภายุโรปตั้งแต่ปี 2021เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในอียูที่เริ่มเมื่อปี 2005 ในครั้งนั้นอียูมีการกำหนดเกณฑ์ว่าแต่ละธุรกิจจะสามารถปล่อยคาร์บอน (Carbon Footprint) สูงสุดได้เท่าไหร่และหากปล่อยเกินเกณฑ์ก็ต้องไปซื้อสิทธิ์การปล่อยคาร์บอนเพิ่มจากธุรกิจอื่น

 

ตามนโยบายที่เรียกว่า Emission Trading Scheme (ETS) การออกมาตรการเช่นนี้เพื่อกดดันให้ธุรกิจเร่งปรับเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น มิฉะนั้นจะถูกเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะทำให้ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้น

 

 ทั้งนี้ในอนาคตจะมีการอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถนำ Carbon Credit ที่ซื้อมาหักล้างกับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ตนปล่อยออกไป เพื่อทำให้โดยรวมแล้วระดับการปล่อยก็าซเรือนกระจกไม่เกินที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยได้เตรียมดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิต ซื้อ-ขายคาร์บอน เพื่อนำไปใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว

 

ดังนั้นเกษตรกรชาวสวนยางก็จะสามารถขาย Carbon Credit ได้ เพราะสวนยางพารานั้นมีความคล้ายคลึงป่าไม้ที่เป็นแหล่งดูดชับคาร์บอนตามธรรมชาติ ด้วยกระบวนการสังคราะห์แสงที่ใช้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่จะต้องเป็นสวนยาง Carbon Negative ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ากว่าดูดกลับเท่านั้น

"คาร์บอน เครดิต" โอกาสสร้างรายได้ "ชาวสวนยาง" ยุคดิจิทัล

ในการขับเคลื่อนมาตรการ Zero Carbon ในสวนยางพารา กยท. ได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) หน่วยงานภาคการศึกมา เช่น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล รวมไปถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และผู้ประกอบการที่ส่งออกทางเรือ เป็นต้น

 

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาพิชย์ ที่จะใช้เป็นกลไกลสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กยท. พร้อมจะขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ 

 

“เราจะต้องร่วมกันสร้างความยั่งยืนเพื่ออนาคดของเรา" นายณกรณ์กล่าวย้ำ

 

ทั้งนี้ผู้ว่าการ กยท. มั่นใจว่า การพัฒนาสวนยางให้เป็นสวนยาง Carbon Negative นั้นมีความเป็นไปได้สูง เพราะในปัจจุบัน กยท. ผลักดันและส่งเสริมเกษตรกรปรับปรุงสวนยางให้ได้มาตรฐานการจัดการสวนป่าไม้เศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หรือ มาตรฐาน มอก. 14061 ซึ่งเป็นมาตรฐานประเทศไทยที่ให้มีการปรับเกณฑ์รายละเอียดให้ตรงตามมาตรฐานสากล ครอบคลุมการดูแลและจัดการเพื่อรักษาและส่งเสริมสภาพความสมบูรณ์ของสวนป่าไม้เศรษฐกิจในระยะยาว

 

การปฏิบัติดามกฎหมายอย่างถูกต้อง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ และระหว่างประเทศ  โดยมาตรฐานนี้กำหนดให้มีการป้องกันสวนป่าจากการทำผิดกฎหมายต่างๆ เช่น การลักลอบตัดตันไม้ การเผาป่า การใช้ที่ดินอย่างผิดกฎหมาย ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และอำนวยประโยชน์แก่ชุมชนในพื้นที่

 

โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า สวนยางในประเทศไทยทุกสวนที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท.ประมาณ 20 ล้านไร่ จะต้องได้ตามมาตรฐาน มอก. 14061  ให้ได้ภายใน 6 ปี ซึ่ง กยท. จะดำเนินการคู่ขนานกับมาตรฐานสากล FSC (Forest Stewardship Council) เพื่อช่วยเพิ่มมูลค่าน้ำยางในตลาดโลก ที่จะต้องดำเนินกิจกรรมให้สอดคล้อง เกื้อหนุนกับสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ

 

เช่น จะต้องไม่ละเมิดกฎหมาย การถือครองที่ดิน ต้องถูกกฎหมาย ไม่อยู่ในเขตป่าสงวน หรือที่ดินสาธารณะอื่นๆ และต้องรักษาสมดุลระบบนิเวศ ไม่กดขี่แรงาน เป็นต้น  

 

“กยท. มีนโยบายที่จะส่งเสริมให้เกษตรกรพัฒนาสวนยางให้ได้มาตรฐานอยู่แล้ว ดังนั้นการที่พัฒนาต่อ ยอดให้เป็นสวนยาง Carbon Negative ด้วยจึงไม่ยากเกินไป ซึ่งการดำเนินมาตรการ Zero Carbon ในสวนยางพารานั้นจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วม ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพราะนอกจากช่วยลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อมแล้วและยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมของประเทศ รวมทั้งยังจะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการขาย Carbon Credit ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน สั่งเสริมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อันจะไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป” ผู้ว่าการ กยท. กล่าว

 

ปัจจุบันมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกประมาณ 50,000 ล้านตันต่อปี  โดยประเทศจีนปล่อยมากที่สุดเป็นอันคับ 1 รองลงมาคือ สหรัฐอมริกา และญี่ปุ่น ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 20 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 365 ตันต่อปี แต่ประเทศไทยมีป่าไม้ช่วยกักเก็บก๊าซเรือนกระจก (CO2) ได้ถึง 91 ล้านตันต่อปี

 

และถ้าหากสวนยางพาราทั่วประเทศไทยประมาณ 20 ล้านไร่ เป็นส่วนยาง Carbon Negative หรือ Zero Carbon ทั้งหมดก็จะสามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้อีกไม่น้อยกว่า 10 ล้านตันต่อปี สร้างมูลค่าจากการขาย Carbon Credit มหาศาลแน่นอน