เอเปค 2022 ชูเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตั้งเป้าทำ FTA คู่ค้าครอบคลุม 80%การค้าโลก

05 พ.ค. 2565 | 07:27 น.

เอเปค 2022 ชูเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตั้งเป้าทำ FTA คู่ค้าครอบคลุม 80% ของการค้าไทยกับโลก  พร้อมยังมีแผนใช้เวที JTC แก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า พร้อมลงพื้นที่ชี้ช่องใช้ประโยชน์จาก FTA

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (MRT) ระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคมนี้ โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ซึ่งจะผลักดันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Model) การอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุน การฟื้นฟูการท่องเที่ยว การเปิดการค้าเสรี การรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การก้าวไปสู่สังคมดิจิทัล การส่งเสริมแนวคิดการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ

การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดี ความมั่นคงทางอาหารและการเกษตร และที่สำคัญจะให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการค้า การลงทุน ให้รองรับรูปแบบการค้าใหม่สอดคล้องกับสถานการณ์โลกที่เผชิญกับการแพร่ระบาดโควิด-19 การอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงวัคซีน สินค้าจำเป็น การขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของสมาชิกเอเปคและการเพิ่มบทบาทของ WTO ในการรับมือกับโควิด-19 และการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19

นอกจากนี้ครบรอบ 80 ปีของกรมได้กำหนดวิสัยทัศน์การทำงานในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2565-2570) โดยตั้งเป้าที่จะผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้า ให้ครอบคลุม 80% ของสัดส่วนการค้าไทยกับโลก ซึ่งปัจจุบันการทำ FTA กับคู่ค้า มีสัดส่วนอยู่ที่ 64% เมื่อเทียบกับอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ทำ FTA กับประเทศทั่วโลก สูงถึง 96% เวียดนาม 73% อินโดนีเซีย 67% และฟิลิปปินส์ 71% ดังนั้น กรมฯ จึงต้องเร่งผลักดันการเจรจาจัดทำ FTA กับคู่ค้าเพิ่มขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าสินค้า บริการและการลงทุน ให้กับผู้ประกอบการไทย

เอเปค 2022 ชูเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ  ตั้งเป้าทำ FTA คู่ค้าครอบคลุม 80%การค้าโลก

“ปีนี้ กรมฯ มีแผนที่จะผลักดันการเจรจา FTA คงค้างให้ได้ข้อยุติ อาทิ ไทย-ตุรกี ไทย-ปากีสถาน ไทย-ศรีลังกา โดย FTA ไทย-ตุรกี มีแนวโน้มที่จะสรุปผลการเจรจาได้ภายในปีนี้ และจะเร่งเปิดเจรจา FTA ฉบับใหม่ ได้แก่ ไทย-สมาคมการค้าเสรียุโรป (EFTA) และไทย-สหภาพยุโรป (อียู) ซึ่ง FTA ไทย-EFTA และการอัพเกรด FTA ในกรอบอาเซียนกับคู่เจรจา ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กำลังอยู่ระหว่างการเสนอกรอบการเจรจาให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา รวมทั้งมีแผนศึกษาทำ FTA กับประเทศที่ภาคเอกชนเสนอ อาทิ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา”

นอกจากนี้กรมฯ ยังมีแผนใช้เวทีการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้า (Joint Trade Committee : JTC) กับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาอุปสรรคทางการค้า และกระชับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JTC ระดับรัฐมนตรี กับเวียดนามและภูฏานแล้ว เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และมีแผนจะประชุม JTC กับประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สิงคโปร์ สหราชอาณาจักร มัลดีฟส์  จีนและบังกลาเทศ ในปีนี้ด้วย

นอกจากนี้ การเจรจา FTA ในกรอบต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติจริง โดยจะลงพื้นที่ไปพบปะกับเกษตรกร และผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อไปแนะนำ ให้ข้อเสนอแนะ ชี้โอกาสและลู่ทางการใช้ประโยชน์จาก FTA ในการทำตลาดต่างประเทศ โดยมีแผนที่จะลงพื้นที่ อาทิ โครงการสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์ FTA Center ระดับจังหวัด ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤษภาคม 2565 ณ จ.พะเยา โครงการพัฒนาความพร้อมทางการค้าของสหกรณ์ไทยสู่การค้าเสรี (ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 10 – 12 มิถุนายน 2565 ณ จ.นครศรีธรรมราช โครงการการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยง 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สู่ตลาดการค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2565 ณ จ.นราธิวาส โครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกรในยุคการค้าเสรี (ร่วมกับสภาเกษตรกรแห่งชาติ) ครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 18 - 20 สิงหาคม 2565 ณ จ.แม่ฮ่องสอน

“แม้กรมฯจะเร่งเดินหน้าการเจรจา FTA เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน แต่จะดำเนินการไปพร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ที่จะได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร และผู้ประกอบการ โดยได้ผลักดันให้มีการจัดตั้งกองทุน FTA แบบถาวร ซึ่งได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนของกระทรวงการคลังแล้ว และอยู่ระหว่างการเสนอ ครม. เพื่อพิจารณา”