“น้ำยางสด” ทิ้งดิ่ง ร่วงหนัก 10-12 บาท/กก. ในรอบ 7 วัน

10 ธ.ค. 2564 | 09:02 น.

เครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เดือด จี้ “กรมการค้าภายใน –กยท.” เข้าตรวจสอบใบสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ดัดหลังพ่อค้าน้ำยางข้นทุบ น้ำยางสดทิ้งดิ่ง ร่วง 10-12 บาท/กก. ในรอบ 7 วัน ชาวสวนร้องจ๊าก เผยราคายางตกเสียหายหมื่นล้าน

ถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน

 

นายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในรอบ 3-4 วัน น้ำยางสด ร่วงลงมา 10-12 บาท/กิโลกรัม  ปรับลดลงมาเป็นอย่างมาก อยากให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ และการยางแห่งประเทศไทย  ร่วมมือทุกภาคส่วนหน่วยงานรัฐให้ไปรื้อสัญญาซื้อขายน้ำยางข้นของบริษัททุกบริษัทที่ส่งออก

 

"เหตุผลว่าในการซื้อขายยาง ในรูปแบบ "น้ำยางข้น" เป็นการซื้อขายยางล่วงหน้า ไม่ได้เป็นการซื้อขายวันต่อวัน เพราะฉะนั้นเมื่อขายได้ในราคาที่สูงอยู่แล้ว ทำไมต้องมาทุบราคาในประเทศ แล้วเกรงว่าในวันเสาร์-อาทิตย์ นี้ที่ชาวสวนไม่ได้ขายตลาดกลาง กยท. (ตลาดปิด) จะไปขายนอกตลาด จะถือโอกาสทุบอีกเพราะเป็นวันพรุ่งนี้ (11-12 ธ.ค.64) เป็นวันหยุด เสาร์ –อาทิตย์"

 

 

“วันนี้น้ำยางสดออกมาเป็นกว่าล้านกิโลกรัม หากทุบ กิโลกรัมละ 2 บาท  จะได้กำไร เท่าไร และ ถ้าคิดในรอบ 1 เดือนที่โดนทุบมาต่อเนื่องความเสียหายกว่า หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นการสูญเสีย 1.เกษตรกรสูญเสียทั่วประเทศกว่าหมื่นล้านบาท"

 

2.การเก็บภาษีต่ำลง ดั้งต้องเร่งกรมการค้าภายใน กยท. เข้าตรวจสอบสัญญาซื้อขาย ให้นำ พ.ร.บ.ควบคุมยางฯ มาใช้ควบคู่ด้วย เพราะจะเป็นเครื่องมือหนึ่งควบคุมดูแลปัญหาของราคายางได้อยู่แล้วโดยตรง แต่ถ้าไม่มีอะไรคืบหน้า วันจันทร์ที่จะถึงนี้มีประชุมเครือข่ายฯ อาจจะเดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพราะเราไม่ยอมแน่นอน”

 

 

 

 

 

การยางแห่งประเทศไทย รายงานสถานการณ์ราคายางพารา ในภาพรวมปรับตัวลดลง โดยได้รับปัจจัยกดดันจากการที่ ค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐและการขาด แคลนตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งยาง ประกอบกับการขาดแคลนชิป ที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ รวมถึงมีปริมาณยางเข้าสู่ตลาดเยอะ เนื่องจากทางตอนใต้ของประเทศไทยหมดช่วงฝนตก

 

อย่างไรก็ ตาม ราคายางได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ราคาตลาด ล่วงหน้าต่างประเทศและราคาน้ำมันดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับนักลงทุนยังคงต้องการยางเพื่อส่งมอบอยู่ นักลงทุนยังคงต้องติดตามเศรษฐกิจโลกต่อไป