เอกชนหนุนรัฐคลายล็อกดาวน์ เคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้า

มีสัญญาณจากรัฐบาลถึงการคลายล็อกดาวน์ ที่จะเริ่มในเดือนกันยายนนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาระบุไปในทิศทางเดียวกับคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า เห็นสัญญาณชะลอตัวของผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ ลดลงจากที่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดราว 2.3 หมื่นรายต่อวัน และทรงตัวมาอยู่ระดับกว่า 1.7 หมื่นรายต่อวัน และคาดว่าจะลดลลงต่อเนื่อง ขณะที่มียอดการรักษาหาเพิ่มสูงขึ้นในระดับกว่า 2.2 หมื่นรายต่อวัน

ประกอบกับแผนการจัดหาวัคซีนไปจนถึงสิ้นปีนี้ ยืนยันว่าได้ตามเป้าหมายหลังจากที่ได้หารือกับ บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ที่จะส่งมอบวัคซีนให้อีก 41.7 ล้านโดส โดยจะส่งมอบในเดือนกันยายนนี้ 10 ล้านโดส จากปัจจุบันฉีดวัคซีนได้แล้วเกือบ 28 ล้านโดส รวมถึงการนำมาตรการป้องกันควบคุมโรคในพื้นที่เฉพาะ หรือบับเบิ้ลแอนด์ซีล สำหรับสถานประกอบการในพื้นที่ที่ระบาดกลุ่มก้อนและพื้นที่ทั่ว ๆ ไป นำร่องในโครงการ Factory Sandbox เพื่อป้องกันคลัสเตอร์โรงงานจากการติดเชื้อ

การส่งสัญญาณดังกล่าว เพื่อที่จะให้กิจกรรมต่าง ๆ กลับมาดำเนินการได้เกือบปกติ เพราะหากยังล็อกดาวน์ไปจนสิ้นสุดเดือนกันยายน จะทำให้เศรษฐกิจเสียหายเพิ่มขึ้นจากที่มีการประเมินไว้ราวเดือนละ 3.5 แสนล้านบาท แต่ทั้งนี้ การคลายล็อกดาวน์ จะยังอยู่บนเงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงประเภทกิจกรรมที่จะคลายล็อกดาวน์ด้วย

อย่างกรณีของห้างสรรพสินค้า ที่จะให้กลับมาดำเนินการปกติ ผู้ที่เข้าใช้บริการจะต้องฉีดวัคซีนครบแล้ว 2 เข็ม หรือต้องตรวจแบบ Antigen Test Kit หรือ ATK ก่อน ส่วนร้านอาหาร ให้นั่งทานในร้านได้ไม่เกิน 25% หรือนั่งได้ไม่เกิน 2 คนต่อโต๊ะ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เปิดได้ถึง 21.00 น. เป็นต้น

นายแสงชัย  ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวว่า การคลายล็อกดาวน์ในต้นเดือนกันยายนนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 หรือ ศบค. ต้องจับมือกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการทำ Data analytics ของคลัสเตอร์ต่าง ๆ ที่เกิดการติดเชื้อและต้องปิดกิจการมาเปรียบเทียบว่าหลังล็อกดาวน์แล้วได้ผลเป็นอย่างไร พร้อมให้เอกชน ร่วมหารือและทำแผนบริหารความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นในซีเนริโอต่าง ๆ เพื่อลดการระบาดที่อาจจะเกิดขึ้นในระลอก 5 และ 6 ซึ่งจะทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย

ทั้งนี้ ศบค. ควรปรับเปลี่ยนมิติการทำงานใหม่ไม่ใช่ในโมเดล Top Down หรือคิดและสั่งจากข้างบนลงมา ต้องมีการทำงานร่วมกัน พูดคุยกัน กำหนดซีเนริโอและหาทางออกร่วมกัน วันนี้จะเห็นหลายธุรกิจได้รับผลกระทบหนักมาก ทั้งร้านอาหาร ตลาดนัด ถ้าเปิดโดยไม่มีการวางแผนงานรองรับ มิติการแก้ปัญหาที่ไม่รัดกุม เพียงพอ ก็จะเกิดการระบาดตามมา ดังนั้นต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ทางสมาคมภัตตาคารไทย ได้ทำหนังสือถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อยื่นข้อเสนอมาตรการการจัดการร้านอาหารภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ได้กลับมาเปิดให้บริการนั่งรับประทานในร้านได้อีกครั้งโดยเร็ว เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของศบค. ภายใต้ข้อกำหนดต่าง ๆ

แหล่งข่าวระดับสูงจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เปิดเผยว่าในการประชุมศบค.ชุดเล็กวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ได้มีการหารือถึงการคลายล็อกมาตรการจำกัดการเดินทางข้ามจังหวัด ในประเด็นที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ออกประกาศห้ามสายการบินทำการในประเทศในเส้นทางบินเข้า-ออกในพื้นที่สีแดงเข้ม และเตรียมจะนำเสนอ ศบค.ชุดใหญ่ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้

 ทั้งนี้ มีแนวโน้มว่าจะอนุญาตให้สายการบินกลับมาทำการบินในประเทศอีกครั้งในช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ ที่จะผ่อนผันให้สายการบินสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จาก 50% ต่อเที่ยวบินเป็น 70% ต่อเที่ยวบิน และกำหนดเงื่อนไขว่าผู้โดยสารจะต้องได้รับการฉีดวัคซีน SV 2 เข็ม, หรือAZ , Pfizer, Sinapharm, Moderna อย่างน้อย 1 เข็ม หรือวัคซีนผสม ไม่ต้องตรวจ Swap Test ขึ้นเครื่องได้ หากผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจะต้องมีผลการตรวจเชื้อก่อนการเดินทางอย่างน้อย 72 ชั่วโมง

หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3708 วันที่ 26-28 ส.ค. 2564