โดย รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช
ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย
การพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย “น่าสนใจมาก” เพราะประสบความสำเร็จ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทยกับมาเลเซียเป็นแบบ “พึ่งพิงซึ่งกันและกัน” ทั้งด้านการค้า การลงทุน ท่องเที่ยวและการขนส่งสินค้า มาเลเซียพึ่งพิงสินค้าเกษตรและแปรรูปจากไทย ไทยพึ่งพิงนักท่องเที่ยวมาเลเซีย ที่เข้ามาไทยเป็นอันดับสองรองจากจีน ปีละ 4 ล้านคน เกินร้อยละ 50 (2.3 ล้านคน) เข้ามาทางด่านชายแดน สะเดาะและปาดังเบซาร์ (ปี 2562) นักท่องเที่ยวไทยก็นิยมไปเที่ยวมาเลเซียมากเป็นอันดับ 1 จำนวน 1.7 ล้านคน (ปี 2562) ตามด้วย ลาว ญี่ปุ่น และจีน นอกจากนี้ยังต้องใช้ท่าเรือมาเลเซียในการขนส่งสินค้า
ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับมาเลเซียเริ่มเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2500 ที่เป็นวันเดียวกับที่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษ (1874-1957) เรียกวันนี้ว่า “วันชาติมาเลเซีย” หรือที่เรียกว่า “วันเมอเดคา วันอิสรภาพ” สิ่งที่เห็นได้เพื่อเป็นสัญลักษณ์อิสระภาพคือ “สนามฟุตบอลเมอเดคา” ที่เป็นหนึ่งในสนามเก่าแก่ของมาเลเซีย (สร้างปี 1957) ปัจจุบัน มีสนามบูกิต จาลิล เป็นสนามฟุตบอลที่มีความจุมากที่สุดในอาเซียน มีความจุอยู่ที่ 87,411 ที่นั่ง และ “จตุรัสเมอเดดา” เป็นที่ถูกเอาธงยูเนี่ยนแจ๊กลงและเอาธงชาติมาเลเซียขึ้นแทนของเที่ยงคืนของวันที่ 31 สิงหาคม 1957 (อินโดนีเซียมีจัตุรัสเมอเดคา เช่นกัน)
วันชาติมาเลเซีย (และวันเริ่มต้นสัมพันธ์ทางการฑูตกับไทย) ตรงกับสมัยนายกรัฐมตรีคนแรก “ตุนกู อับดุล ระฮ์มัน” (ปัจจุบันมีเจ้าชายแห่งรัฐยะโฮร์ชื่อเดียวกัน อายุ 26 ปี) เกิดที่มณฑลไทรบุรี (รัฐเคดาห์) ประเทศสยาม เมื่อ 8 ก.พ. 2446 มีแม่เป็นคนไทยชื่อ “หม่อมเนื่อง นนทนาคร” มีภรรยาคนที่ 1 (มีภรรยาทั้งหมด 4 คน) เป็นคนไทยเชื้อสายจีน “ท่านผู้หญิงมาเรียม จง อับดุลลาห์” ลูกสาวนายหัวเหมืองดีบุกชาวไทย เคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ กรุงเทพ เมื่ออายุ 10 ขวบ “รวม 2 ปี” (สยามยกไทรบุรีให้อังกฤษไปแล้ว) ช่วงปี พ.ศ. 2456-2458 ถูกขนานนามว่า “บิดาแห่งมาเลเซีย (Bapa of Malaysia) ” เพราะเป็นผู้นำการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ (ได้รับปริญญาบัณฑิตสาขาศิลปศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1925 จาก มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ด หลังจากกลับมาจากอังกฤษทำงานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ได้เดินทางไปศึกษาวิชากฎหมายต่อ ที่ Inner Temple ที่ประเทศอังกฤษ)
ช่วง 30 ปีแรกของความสัมพันธ์ของไทย-มาเลเซีย ช่วงนายกรัฐมนตรีระฮ์มัน (31 สิงหาคม 2500 - 22 ก.ย. 2013) ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่ดีเพราะมีความสนิทสนมกับไทยเนื่องจากคุณแม่ ภรรยาเป็นคนไทยและมีนโยบายตรงกันเรื่อง “การต่อต้านคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น” ทำให้ “อาเซียน” ถือกำเนิดขึ้นในช่วงนี้เมื่อวันอังคารที่ 8 สิงหาคม 2510 ต่อมาในช่วงนายกฯ อับดุล ราซัก ฮุซเซน และฮุนเซน อนน์ และช่วงแรกของนายกฯ มหาเธร์ ความสัมพันธ์ไทยมาเลเซียไม่ดีเท่ากับช่วงนายกฯ ระฮ์มัน เพราะมีประเด็นพื้นที่ทับซ้อนและประมง ทำให้ช่วงต้นๆ ของนายกฯ มหาเธร์จึงพยายามหาทางออกร่วมกัน
ดังนั้นจึงมีการริเริ่มตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันเป็นต้น เช่น ค ณ ะ ก ร ร ม า ธิ ก า ร ร่ ว มไ ท ย-ม า เ ล เ ซี ย (Joint Commission : JC) 2530 เขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) 2536 ความร่วมมือระหว่างหอการค้าไทยและหอการค้าอุตสาหกรรมแห่งชาติมาเลเซีย 2541 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านยางพารา 2542 ความตกลงว่าด้วยการค้าทวิภาคี 2543 คณะกรรมการร่วมการค้า (joint trade committee : JTC) ระดับทวิภาคี 2543 บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดทำ Bilateral Payment Arrangement (Account Trade) 2544 สภาธุรกิจมาเลเซีย-ไทย (Malaysian-Thai Business Council : MTCC) 2545 เป็นต้น
มูลค่าการค้าชายแดนไทยกับมาเลเซียมีสัดส่วนมากสุด 32% ของมูลค่าการค้าชายแดนรวม (ปี 2563) ตามด้วย สปป.ลาว เมียนมาและกัมพูชา แต่ช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (2558 – 2563) การค้าชายแดนไทยกับมาเลเซียมีสัดส่วนลดลง จากสัดส่วน 52 % เหลือ 32% จากถูกแทนที่โดยการค้าชายแดนไทยกับเมียนมา ลาว และกัมพูชาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าชายแดนไทยกับกัมพูชา
เหตุผลเพราะโครงสร้างการนำเข้าไปมาเลเซียมีการเปลี่ยนแปลง ปกติส่วนใหญ่นำเข้ายางพาราและคอมพิวเตอร์ แต่ช่วงหลังผลิตภัณฑ์ยางและถุงมือที่มีมูลค่าส่งออกลดลงอย่างมาก เพราะมาเลเซียหันไปผลิตสินค้า 2 ประเภทนี้ในประเทศตนเองมากขึ้น ส่วนยางพาราที่ส่งออกเป็นวัตถุดิบยางแทน โดยด่านสะเดา จ.สงขลามีสัดส่วนการค้ากับมาเลเซียสัดส่วนเกือบ 80% ตามด้วยด่านปาดังเบซาร์ 19% ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มาเลเซียนำเข้าจากไทยเป็น “อันดับที่ 8” โดยมีจีน สิงคโปร์ สหรัฐฯ และญี่ปุ่นเป็นคู่ค้ารายใหญ่
ที่น่าสนใจคือมาเลเซียนำเข้าจากไทยลดลงจากระดับ “หมื่นล้านเหลือแปดพันล้านเหรียญ” และส่วนแบ่งตลาดสินค้าไทยลดลงจาก “6% เหลือ 4%” ประเทศจีน ไทเป เกาหลี อินเดียและเวียดนาม เป็น “ผู้แย่งส่วนแบ่งตลาดหลัก” สรุปได้ว่าทั้งระดับชายแดนและระดับชาติ “ไทยกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดมาเลเซีย” ต่อครั้งหน้าครับ
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 8 ฉบับที่ 3,673 วันที่ 25 - 28 เมษายน พ.ศ. 2564