รายงานข่าวระบุว่า เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง เข้ายื่นหนังสือถึงนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อใคณะกรรมการฯที่ยึดตามมติเดิมเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 โดยให้ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 (ห้ามใช้ ห้ามครอบครอง) มีผลวันที่ 1 มิถุนายน 63
นางสาวปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯ เห็นว่าข้ออ้างของนายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าไทย ที่เสนอให้ขยายระยะเวลาการแบนพาราควอตและคลอร์ไพริฟอสออกไปเป็นปลายปี 2563 หรือจนกว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 (COVID-19) จะสิ้นสุดลง เพราะกังวลเรื่องการตกค้างของสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากหลายประเทศทั่วโลกแบนพาราควอตมามากกว่าทศวรรษ
ทั้งนี้ ล่าสุดสหภาพยุโรปได้ประกาศแบนคลอร์ไพริฟอส มาตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2563 และเวียดนาม แบนพาราควอตมาตั้งแต่ 2560 และแบนคลอร์ไพริฟอสมาตั้งแต่ต้นปี 2562 ซึ่งไม่มีประเทศใดบ้างปัญหาการตกค้างจนส่งผลกระทบต่อการผลิตและอุตสาหกรรมใดเลย
นอกจากนี้ ยังไม่เห็นด้วยกับการออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนใบอนุญาตผลิตวัตถุอันตรายและการต่ออายุวัตถุอันตรายเพิ่มเติมเพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนสามารถนำเข้าวัตถุอันตรายเข้ามาอีก ทำให้สต๊อกสารเคมีกำจัดศัตรูพืชคงค้างเดิมไม่ลดลง และขัดกับมติ รวมถึงเจตนาของการแบนสารเคมี ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน โดยปราศจากเหตุผลที่ชอบทำรองรับ ดังนั้นควรยึดมติเดิมเพื่อให้เอกชนจำหน่ายสต็อกเดิม โดยรัฐบาลไม่ต้องเสียค่าทำลายสารเคมี
อย่างไรก็ดี ยังขอเรียกร้องให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายกรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการออกประกาศกระทรวงว่าด้วยบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายและออกมาตรการต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามมติเดิม เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นมติโดยชอบด้วยกฎหมายโดยในวันที่ 30 เมษายนนี้ทางเครือข่ายฯจะติดตามการประชุม หากมีมติเป็นอื่น จะยกระดับการเรียกร้องต่อไป
นางสาวรัตนา รักษ์ตระกูล ผู้อำนวยการกองบริหาาจัดกานวัตถุอันตราย ซึ่งเป็นตัวแทนรับหนังสือแทนนายสุริยะ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตรายฯ ในวันที่ 30 เมษายน จะนำข้อเสนอจากทางกลุ่มของทุกกลุ่มเข้าหารือในที่ประชุมเพื่อหารือข้อสรุปและทางออกในเรื่องนี้ และยอมรับว่าขณะนี้กรมวิชาการเกษตรยังไม่ได้ส่งหนังสือการหาสาร ตัวอื่นมาทดแทนสารเคมีนี้ให้กับคณะกรรมการ