FDA เตือนเอง ผู้ฉีดวัคซีนโควิดอาจมีอาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

17 ธ.ค. 2563 | 03:12 น.

FDA ยังไม่ฟันธงว่า อาการหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell's Palsy) เป็นผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน แต่มีรายงานตรวจพบแล้ว 8 ราย

 

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ออกรายงานเมื่อเร็ว ๆนี้ ระบุว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ของ บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ และ บริษัทโมเดอร์นา อาจมี อาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s palsy)

 

รายงานเปิดเผยว่า อาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ 4 รายมีอาการ Bell’s palsy หรืออาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก จากจำนวนทั้งหมด 43,000 ราย ส่วนผู้ที่ได้รับวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นามีอาการดังกล่าว 4 รายเช่นกัน จากจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนทั้งหมด 30,000 ราย โดยผู้ป่วยจะมีอาการเกิดขึ้นหลังจากฉีดวัคซีนราว 22-32 วัน

 

อย่างไรก็ดี FDA ระบุว่า ขณะนี้ “ยังไม่มีข้อมูลเพียงพอ” ที่จะระบุว่าอาการใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเป็นผลโดยตรงจากการฉีดวัคซีน แต่ FDA แนะนำให้ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนควรเฝ้าระวังอาการดังกล่าว

 

ขณะนี้แพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุของการเกิด Bell’s palsy แต่เชื่อกันว่า เกิดจากอาการบวม หรือการติดเชื้อไวรัสของเส้นประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อซีกหนึ่งบนใบหน้า

ทั้งนี้ จากการค้นข้อมูลเพิ่มเติมจาก เว็บไซต์ทางการแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เกี่ยวกับสาเหตุและอาการของโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy พบว่า เป็นโรคที่มีการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งโดยปกติ เป็นเส้นประสาทสมองคู่ที่จะมาเลี้ยงกล้ามเนื้อของใบหน้าทั้งด้านบนและด้านล่าง

 

เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดความผิดปกติของเส้นประสาทสมองเส้นนี้ มันจะทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงไป อย่างเช่นกรณีที่เคยเกิดขึ้นกับคุณโอ อนุชิต ดาราหนุ่มชื่อดัง ซึ่งตอนที่เป็นจะมีอาการหลับตาไม่สนิทข้างหนึ่ง ยักคิ้วไม่ได้ มุมปากตก เวลาดื่มน้ำแล้วน้ำไหลออกจากมุมปากด้านหนึ่ง เส้นประสาทเส้นนี้ยังเกี่ยวข้องกับการรับรสด้วย เพราะฉะนั้นคนไข้อาจจะมีการสูญเสียการรับรสของลิ้นด้านเดียวกับของใบหน้าที่อ่อนแรงไป อีกอาการหนึ่งก็คือ คนไข้อาจจะได้ยินเสียงดังกว่าปกติจากหูข้างนั้น เนื่องจากเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 มันไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ช่วยลดความดังของเสียงที่จะเข้ามาในหูข้างนั้นด้วย

 

สำหรับสาเหตุของความผิดปกติอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่รู้แน่ ๆ ก็คือ มีการอักเสบของตัวเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และมีการบวมของเส้นประสาท สมมุติฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในปัจจุบันคือ การติดเชื้อไวรัส ซึ่งจากการศึกษาก็มีไวรัสหลายตัว เช่น ไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคเริม ไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส แล้วก็ยังมีไวรัสตัวอื่น ๆ อีก

 

ในกรณีที่เป็นการติดเชื้อไวรัส ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าในผู้ป่วย Bell’s Palsy 100 คนมีการติดเชื้อไวรัสสรุปทั้งหมดกี่คน ถ้าเกิดจากเชื้อไวรัส หลังจากการติดเชื้อครั้งแรก มันก็จะเข้าไปซ่อนที่ปมประสาท แล้ววันดีคืนร้ายถ้าเกิดร่างกายเราอ่อนแอ ภูมิต้านทานลดลง มันก็ออกมาแผลงฤทธิ์ได้

 

โรคนี้เป็นกันเยอะ ตามข้อมูลที่ทราบกันก็คือ ประมาณ 1 ใน 5,000 คนต่อปี ส่วนการป้องกัน ถ้าเราเชื่อว่าไวรัสมันจะออกฤทธิ์ตอนที่ร่างกายอ่อนแอ ถ้าเราเชื่อตามนั้น เราก็ต้องสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแง โรคนี้เป็นแล้วหายได้ และป้องกันได้