วันที่นี้(3 เม.ย.64) นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา'35 และอดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างปรองดองแห่งชาติ เปิดเผยถึงการจัดงาน “ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” ที่อนุสรณ์พฤษภาประชาธรรรม วันที่ 4 เม.ย.ว่า ได้ร่วมกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) และกลุ่มผู้รักประชาธิปไตย จัดกิจกรรมที่สะท้อนความสามัคคีของคนในชาติเพื่อหาทางออกให้กับประเทศที่กำลังเดินไปสู่ทางตัน และส่อจะเกิดกลียุคสงครามกลางเมือง เพียงเพราะการกระหายอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นายอดุลย์ กล่าวว่า สำหรับเวทีสามัคคีประชาชนจะเชิญประชาชนจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่เลือกข้าง ไม่แบ่งฝ่าย แบ่งสี มาชำแหละความผิดพลาดล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่การไม่ปฏิรูปประเทศตามที่ให้สัญญาประชาคมเมื่อครั้งยึดอำนาจปี 2 557 ไม่สร้างความสามัคคีปรองดองตามคำมั่นสัญญากับแกนนำกลุ่มการเมืองทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
แต่สร้างความแตกแยกทางสังคมอย่างร้าวลึก ปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนใหญ่ทำให้เจ้าสัวร่ำรวย โดยประชาชนต้องใช้สินค้าอุปโภคบริโภคที่แพงขึ้น จึงเกิดความเหลื่อมล้ำยิ่งกว่าเดิม กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน อภิสิทธิ์ชนยังอยู่เหนือกฎหมาย ขณะที่คนจนเข้าไม่ถึงความยุติธรรม ไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญวางแผนสืบทอดอำนาจอีกสมัย
นายอดุลย์ ย้ำว่า เวทีสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ใครก็สามารถมาร่วมกันได้ หากมีความเห็นตรงกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ คือตัวปัญหา เหมือนกับช่วงพฤษภาคม 2535 ที่นักศึกษาและประชาชนทุกฝ่ายเห็นว่า รสช.คือปัญหาจึงออกมาขับไล่จนสำเร็จ
ดังนั้น งานนี้จะต้องสลายเสื้อสีอะไรที่เคยบาดหมางใจให้ละไว้เลิกทะเลาะกันชั่วคราว มาสามัคคีเพื่อประเทศไทย ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ให้สำเร็จก่อน และไม่จำเป็นต้องเดินลงท้องถนน เพราะหากทุกฝ่ายมาแสดงพลังร่วมกันจำนวนมากให้เป็นเจตจำนงของสังคม ก็สามารถกดดันองคาพยพของรัฐบาลให้สั่นคลอนล้มลงได้ แล้วจัดให้มีรัฐบาลใหม่ที่สามารถสร้างความสามัคคีคนในชาติและปกป้องสถาบันได้ดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์
นายอดุลย์ ระบุว่า แกนนำที่ร่วมจัดกิจกรรม “ไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย” มีที่มาและความคิดหลากหลายไม่มีสีเสื้อ พวกเราสามัคคีทุกสี มีเป้าหมายเดียวคือ ล้มระบอบประยุทธ์ จึงขอเชิญชวนประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมในวันที่ 4 เม.ย. ยืนยันว่าจะเป็นไปอย่างสันติ ก่อเกิดองค์ความรู้ สร้างสรรค์ และเป็นพลังที่จะทรงพลานุภาพล้มระบอบประยุทธ์ได้