"หมอชลน่าน"ซัด บิ๊กป.โยงกระบวนการขนแรงงานต่างชาติ ต้นเหตุแพร่โควิด 

18 ก.พ. 2564 | 05:28 น.
อัปเดตล่าสุด :18 ก.พ. 2564 | 05:35 น.

“หมอชลน่าน” ซัด บิ๊กป. โยงกระบวนการขนแรงงานข้ามประเทศ ต้นเหตุแพร่โรคโควิด นายกฯตอกกลับยัน "3 ป.ไม่มีใครรับเงิน”ให้พิสูจน์ไปสู้กันในคดี 

 

ที่รัฐสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ 9 รัฐมนตรี รายบุคคล เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายไม่ไหววางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการบริหารโควิด ซึ่งมีผลประโยชน์ร่วมด้วยทำให้เกิดการระบาดรอบสอง ปล่อยให้แรงงานข้ามชาติไหลทะลักเข้ามาประเทศไทยรวมกันในบ่อนและมีการแพร่กระจายออกไปทั่วประเทศ 

โดยนายแพทย์ชลน่าน กล่าวตอนหนึ่งว่า มีกระบวนค้าแรงงานข้ามชาติ นำแรงงานเมียนมา ชาวโรฮิงญาและชาวจีนที่ติดเชื้อโควิดเข้ามายังประเทศไทย พร้อมกับระบุว่ามีรองนายกรัฐมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2557 หลังรัฐประหาร มีการจัดระบบประมูลส่วย มีการออกพระราชกำหนดบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวปี 2560 เพื่อใช้ช่องว่างให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในไทยได้สะดวก ซึ่งปัญหาหลักคือการลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ถูกกฎหมาย จึงทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิดในไทย 

นายแพทย์ชลน่าน ฉายแผนภูมิ ผู้ที่เกี่ยวข้อง 12 กลุ่ม ซึ่งเป็นส่วยในกลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำคาสิโนและคอลเซ็นเตอร์ พร้อมระบุอักษรย่อบิ๊กป.และมีรุ่นเตรียมทหาร อักษรย่อ ระบุไว้อย่างชัดเจน ส่วนส่วยแรงงานต่างด้าวและโรฮิงญา มีการวางรากฐานมาตั้งแต่ปี 2557 โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และสมุทรปราการ 

โดยนำเข้ามาจากพื้นที่จังหวัดตากมากกว่า 2 ล้านคน และเป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อเวลาจับกุมดำเนินคดีได้บุคคลเหล่านี้มักจะคดีเงียบหาย ถ้าระดับบนไม่รู้เห็นเป็นใจคดีเหล่านี้จะเงียบหายได้อย่างไร พร้อมมองว่าการค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกที่ทำอยู่ ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวไม่ถูกต้อง ในการใช้ระบบบับเบิ้ลซีลห้ามเข้าออกพื้นที่ และทำการตรวจค้นหาเชื้อเชิงรุก แต่กลับพบว่าไม่ตรวจเชื้อเนื่องจากกลัวเสียงบประมาณกว่า 20 ล้าน
นายแพทย์ชลน่าน ยังมองว่า การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินภายใต้ความกลัวนั้นล้มเหลว แต่สิ่งที่ล้มเหลวที่สุดในช่วงที่ผ่านมาคือการสร้างความกลัวให้กับประชาชน โควิดเป็นโรคที่ติดง่ายแต่ตายยาก ซึ่งศักยภาพทางการแพทย์รักษาได้

 

นายแพทย์ชลน่าน กล่าวต่อว่า ระบอบประยุทธ์ ตัดตอนประชาธิปไตย ยึดครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ โดยขบวนการ 3 ป. เขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ จัดการเลือกตั้งโดยใช้กลไกที่วางไว้ในโครงสร้างรัฐธรรมนูญ ทำให้ตัวเองและพวกพ้องเข้ามาในสภาได้มากที่สุด ใช้อำนาจผูกขาด กระจายขุนกำลัง 3 ป. แบ่งหน้าที่กันยึดครองประเทศ พยายามแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ จะตรวจสอบการทำหน้าที่ก็ทำไม่ได้กลับไม่มาตอบกระทู้ถาม 

แม้แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาก็ถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านประณาม ในเรื่องการใช้เวลาในการอภิปราย พร้อมกับมองว่าเจตนาคติสำนึกทางการเมืองไม่มี ดูถูกสภาแล้วผมจะเปิดให้มันมาด่าผมอีกทำไม ลักษณะการพูดอย่างนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร เป็นคำพูดของนายกรัฐมนตรี ไม่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งคนใดที่ปฏิเสธสภา อาจจะกลัวแต่ต้องให้เกียรติ  แต่นายกฯท่านนี้พูดใส่หน้าพวกตนว่าจะเปิดสภาให้ด่าผมอีกทำไม ขณะนี้หมดเวลาของนายกรัฐมนตรีแล้วขอให้คืนเวลาให้กับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย อย่าทำร้ายประเทศชาติต่อไปตนไม่ไว้วางใจให้ทั้ง 3 คนบริหารประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป

ด้านพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีชี้แจง นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.พรรคเพื่อไทย กรณี รวบอำนาจแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานอื่น ซึ่งตนเองรู้สึกแปลกใจว่าการตั้งประเด็นดังกล่าว อาจเพราะไม่มีความเข้าใจสถานการณ์บทบาทหน้าที่และการบริหารราชการถึงโครงสร้าง โดยเฉพาะในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาท บางคนสรุปเนื้อหาด้วยตัวเองอาจจะได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับหลายกระทรวงมีข้อกฏหมายที่แตกต่างกัน และยืนยันว่ามีการรับฟังและทำงานร่วมกันกับทุกกระทรวงและทุกระดับ พร้อมระบุว่า ไม่มีใครอยากทำให้ทุกคนลำบากหรือเศรษฐกิจไม่ดี เพราะไม่มีใครมีเจตนาแบบนั้น แม้การบริหารอาจจะไม่ถูกใจแต่ขอให้เข้าใจว่าทุกคนทำงานอย่างเต็มที่

ขณะที่ ผู้อภิปรายฝ่ายค้านหลายอย่างมีความย้อนแย้ง กันเองบางคนบอก ใช้ พรก.เร็วไป บางคนบอกช้าไป ซึ่งทำให้ทำงานลำบาก ตนเองไม่สามารถบังคับให้ทุกคนเห็นพ้องด้วยกันได้อยู่แล้ว เพราะนี่คือประชาธิปไตย และย้ำว่าตนเองไม่เคยรวบอำนาจใคร ใครจะด่าใครจะว่าดูถูกเหยียดหยามตัวเองก็นั่งฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสภาด้วยซ้ำแต่ตนเองก็ทนเพราะนี่คือประชาธิปไตยที่ทุกคนต้องการ

เพราะฉะนั้นอย่าหาว่าตนเองรวบอำนาจหากใช้อำนาจแบบนั้นตนคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ และตนเองก็ชอบทำงานแบบนี้ ให้ทุกคนได้แสดงความคิดเห็น แต่ยอมรับว่าบางครั้ง ช่วงที่ผ่านมาอาจมีความจำเป็นอยู่บ้าง ในช่วงสถานการณ์ไม่สงบสุขเรียบร้อย เช่น ในหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายคนลืมไปแล้วว่าสถานการณ์ที่สงบสุขมา 4-5 ปี เพราะอะไร จึงขอให้ทุกคนเข้าใจสถานการณ์โดยไม่บิดเบือน

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงสถานการณ์การแพทยระบาด โควิด-19 โดยเปรียบเทียบกับเมื่อก่อนที่มีโรคซาร์ โรคเมอร์ส ซึ่งบอกว่าจำได้เมื่อสมัยก่อนที่จะยับยั้งการแพร่ระบาด จากสัตว์สู่คน ต้องมีค่าการฆ่าไก่เป็นล้านตัวซึ่งง่ายกว่านี้ แต่ชีวิตมนุษย์ไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลไหนทำ

พร้อมแจงประเด็นเรื่องการทุจริตแก้ปัญหา โควิด-19 การเรียกรับผลประโยชน์และปัญหาแรงงานต่างด้าว โดยพูดด้วยเสียงเข้มแข็ง ว่า “ 3 ป.ไม่มีใครรับเงิน ” ขอให้ไปพิสูจน์มา หาประจักษ์พยานมาและไปสู้กันในคดี สมาชิกทุกคนพูดได้ ตนเองก็พูดได้เหมือนกันแต่ต้องรักษากิริยาด้วย เพราะทราบว่าฝ่ายค้านต้องการให้ตนโมโหซึ่งบอกไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องยาก

 

นอกจากนี้นายกรัฐมนตรียังชี้แจงถึงโครงการ “เราชนะ” ที่ออกมาตรการมาช่วยเหลือเยียวยาประชาชนซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเพราะต้องบริหารประชาชนทั้งประเทศเมื่อระบบออนไลน์ไม่ได้ก็ต้องทำระบบออฟไลน์ ถึงขณะนี้กระจายไปหลาย 10 ล้านคนแล้ว และจำนวนที่เหลืออยู่มีไม่มากนัก แต่รูปที่มีการนำมาเผยแพร่หรือรูปวันแรก พร้อมย้ำว่า ไม่มีใครอยากไม่ให้เพราะไม่ใช่เงินของตนเอง เป็นเงินของทุกคนแต่ขออย่าไปพูดบิดเบือนให้เสียหายว่ารัฐบาลไม่ให้ความสนใจ

ส่วนข้อกล่าวหา ว่าเว็บ “ไทยชนะ” ละเมิดสิทธิมนุษยชนและบังคับประชาชน ขอถามว่าบังคับตรงไหน เพราะหากเกิดการติดเชื้อและแพร่ระบาด จะไปตามจากที่ไหน ขอยืนยันว่าทำเพื่อสุขภาพของทุกคน

ส่วนกรณีแรงงาน ลักลอบเข้าประเทศนั้นตนเองกำลังดำเนินการอยู่ ขออยากกลัวเพราะเคยบอกแล้วว่า “รังเกียจคนทำผิดกฎหมาย รังเกียจเงินชั่วๆ ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ผมเกลียดลูกน้องเลวๆ”

ส่วนที่บอกให้ตนเองต้องมีเกียรติยศและศักดิ์ศรีนั้น เรื่องนี้อยู่กับตนเองมาตั้งแต่เกิด อยู่ในสายเลือดตั้งแต่เกิดจนตาย ขออย่ามาบอกว่าไม่เคารพในศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตนเองไม่เช่นนั้นคงไม่มาอยู่แบบนี้ ก่อนจะระบุว่า “วันนี้ไม่ได้โมโหนะ” ขณะนี้ตนมีข้อมูลมากขึ้นและกำลังดำเนินการอยู่และจะดำเนินการกับทุกส่วนที่มีความเกี่ยวข้องทั้งตำรวจและทหารแต่ไม่สามารถพูดได้ ไม่ใช่ว่าตนไม่รู้

นายกพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดโดยย้ำว่าตนเองไม่เคยทุจริตและพวกของตนเองไม่เคยเป็นแบบนั้น การที่พูดให้ประชาชนเข้าใจผิด ขอให้พูดให้เกียรติกันบ้างการดูถูกเหยียดหยามสมควรหรือไม่ที่พูดในสภาได้ทั้งหมดแต่หากไปพูดข้างนอกก็ต้องมีปัญหา

ขณะที่มาตรการต่างๆที่ออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์แต่ก็ถูกตีกลับมาอันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ใช่ ขอให้เอาไว้ฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาลและอวยพรอยากให้เป็น แต่จะได้เป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ทั้งที่เข้ามาในกระบวนการเดียวกันแต่ก็พูดมาก

ส่วนกรณีเงินสมทบ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่จ่ายแต่ส่วนที่จ่ายไม่ครบ ก็ต้องทยอยจ่ายให้ครบ การที่มาบอกว่าเบียดบังงบประมาณนั้นถามว่าเงินเหล่านั้นใช้ไปในการดูแลใคร ตนไม่ได้เอามาใช้เอง ไม่ต้องการได้หน้าเรื่องแบบนี้

อย่างไรก็ตามต้องทำให้คนอื่นรักกันสามัคคีกัน อย่าแบ่งแยกคนเพราะตนเองไม่เคยแบ่งแยกใคร ต่อให้ใครไม่รักตนแต่ผมก็รัก และไม่ได้เดือดร้อนมาให้ใครจะรักไม่รักแค่พูดให้ฟัง เพราะต้องทำงานให้คนส่วนใหญ่คนทั้งประเทศที่เรียกว่าปกชนชาวไทย เพราะรัฐธรรมนูญเป็นของปวงชนชาวไทยไม่ใช่เป็นของประชาชนพวกใดพวกหนึ่ง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เก็บตก "วาทะ" นายกรัฐมนตรี อภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่สอง เผ็ดทุกประเด็น

อภิปรายไม่ไว้วางใจ เดือด “บิ๊กตู่” ตอกกลับ 'วิโรจน์' ปมโจมตีวัคซีนโควิด

“อนุพงษ์”แจงชัด !ทำไม “สายสีเขียว” ต้อง 104 บาท

“สุเทพ”ไม่ทน! ฟ้อง“สุทิน”ป้องศักดิ์ศรีถูกพาดพิงปมโฮปเวลล์