วันที่ 2 ก.พ.64 รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เสนอเรื่องที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คน และขั้นตอนการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
โดยที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามผลการประสานงานของ คณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล ที่กำหนดวันและเวลาการอภิปรายดังกล่าว ให้มีขึ้นในวันที่ 16-19 ก.พ.64 และให้มีการลงมติในวันที่ 20 ก.พ.64
หลังจากนี้ จะมีการแจ้งมติครม.ดังกล่าวตอบกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
ด้าน นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงความพร้อมการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า กรอบเนื้อหาลงตัวแล้ว ประเด็นสมบูรณ์เพียงพอ แต่ยังอยู่ระหว่างการขัดเกลาข้อมูล รวมถึงการนำเสนอของแต่ละคน ตลอดจนการเลือกบุคคลที่จะอภิปรายที่ยังปรับเปลี่ยนบุคคลที่เหมาะสม เชื่อว่าจะลงตัวภายในสัปดาห์นี้ และสัปดาห์ต่อไปจะเป็นการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย
ทั้งนี้ เบื้องต้น ภาพรวมฝ่ายค้านวางตัวผู้อภิปรายไว้ 45 คน ในส่วนของพรรคเพื่อไทยเตรียมผู้อภิปรายไว้ 15 คน มีทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ผสมกันไป ยอมรับว่า กังวลเรื่องกรอบเวลาการอภิปรายที่รัฐบาลจัดสรรให้ ทุกครั้งก็มีปัญหา และครั้งนี้ ก็ยังความเห็นยังไม่ตรงกัน แต่เชื่อว่าหากนำเหตุผลมาคุยกันก็จะตกลงกันได้ แต่สบายใจที่ไม่เจอกับข้อจำกัดว่า ต้องปิดสมัยการประชุม ดังนั้น จึงพอหายใจหายคอกันได้
พร้อมย้ำว่า ต้องกำชับผู้อภิปรายให้อภิปรายภายใต้กรอบเวลา จึงวางมาตรการรัดกุมพอสมควร ยอมรับว่า ที่ผ่านมา แต่ละพรรคก็กินเวลากันไปมาอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องเฉลี่ยกันไป ก็เข้าใจกันว่าเป็นข้อจำกัด หากจะคลาดเคลื่อนบ้างเล็กน้อย แต่อยู่บนความเข้าใจก็ไม่มีปัญหา
ส่วนที่รัฐบาลกังวลอภิปรายพาดพิงสถาบันนั้น นายสุทิน ยอมรับว่า ตนเองก็กังวล จึงขอให้อภิปรายอยู่ในกรอบ ส่วนตัวยังไม่แน่ใจว่า ตนเองจะเป็นผู้อภิปรายปิดหรือไม่ ยังไม่มีความแน่นอน อาจจะลองเปลี่ยนหน้าที่ เพราะมีผู้มีฝีมือหลายคน
ส่วนกรอบวันการอภิปรายที่รัฐบาลกำหนดแค่เพียง 4 วันนั้น นายสุทิน กล่าวว่า รัฐบาลจะยื่นคำขาดว่า ต้องอภิปราย 4 วันไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่พูดคุยกัน อีกทั้งรัฐธรรมนูญบังคับไว้ว่า ต้องอภิปรายกันจนจบ ครั้งที่ผ่านมาที่ต้องปิดไป ก็ไม่เป็นไปตามข้อบังคับ แต่ไม่อยากยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตีความ ไม่อยากจะเรื่องมาก แต่ครั้งนี้ไม่อยากให้เกิดขึ้น หากเกิดขึ้น ก็จะไม่ยอม จะต้องทำบรรทัดฐานไว้