“อนุสรณ์” หนุนเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” แนะเจรจาหาทางออกร่วมกัน

18 ต.ค. 2563 | 10:45 น.

“อนุสรณ์” ชี้ตลาดเงินตลาดทุนจะผัวนผวนมากช่วงที่เหลือของปี พร้อมหนุนเลิกใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  และ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า การลงทุนในตลาดการเงินและค่าเงินบาทจะมีความผันผวนอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เหลือของปีจากปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศ สำหรับปัจจัยภายนอกนั้น ผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะกำหนดทิศทางตลาดการเงินและเศรษฐกิจโลก หาก “โจ ไบเดน” ชนะเลือกตั้งทั่วไปประธานาธิบดีสหรัฐฯในวันที่ 3 พฤศจิหายนนี้ ส่งผลต่อตลาดการเงินและเศรษฐกิจในทางบวก และเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยด้วย

อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีทรัมป์อาจไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งและทำให้การประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการต้องยืดเยื้อออกไป หากเกิดความวุ่นวายในการยอมรับผลการเลือกตั้งจะทำให้ตลาดการเงินโลกในช่วงเดือนพฤศจิกายนและเดือนธันวาคมผันผวนปั่นป่วนได้ กระแสเงินทุนอาจไหลออกจากตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทางการเงิน เช่น ตลาดหุ้น ตลาดตราสารอนุพันธ์ต่างๆ มากขึ้น

ตามระบบกฎหมายการเลือกตั้งของสหรัฐฯในเดือนธันวาคม จะใช้คะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral Vote) ไม่ใช่คะแนนเสียงข้างมากของประชาชน (Popular Vote) คณะผู้เลือกตั้งจะประชุมพร้อมกันในรัฐของตนเองและลงคะแนนเสียงเลือกประธานาธิบดี กับรองประธานาธิบดีบนบัตรเลือกตั้งที่แยกกัน กำหนดให้เป็นวันที่ 14 ธันวาคม ถัดมาก็เป็นการนับคะแนนอย่างเป็นทางการในวันที่ 6 มกราคม ปีถัดจากปีเลือกตั้ง โดยประธานวุฒิสภาเป็นประธานการนับคะแนนในการประชุมสภาคองเกรส

และประกาศชื่อผู้ชนะเลือกตั้ง แต่หากนับคะแนนแล้วไม่มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใดได้คะแนนอย่างน้อย 270 เสียง สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม หากผู้ใดได้เสียงคณะผู้เลือกตั้งเกิน 270 เสียงในการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 3 พ.ย. ก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการแล้ว มีฐานะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีและจะมีกระบวนการในการส่งมอบงานและเปลี่ยนผ่านอำนาจอย่างสันติ

“อนุสรณ์” หนุนเลิก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” แนะเจรจาหาทางออกร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม หากเกิดผลการเลือกตั้ง Electoral Vote และ Popular Vote ออกมาแตกต่างกันเช่นในอดีต ปัญหาทางการเมืองจะซับซ้อนมากกว่าการเลือกตั้งระหว่างอัล กอร์ ชนะ Popular vote กับ จอร์จ ดับเบิลยู บุช ชนะ Electoral Vote หรือ กรณี โดนัล ทรัมป์ ชนะ Electoral Vote กับ ฮิลลาลี คลินตัน ชนะ Popular Vote หากผลการเลือกตั้งไม่แสดงถึงชัยชนะเด็ดขาดของ โจ ไบเดน มีความเป็นไปได้สูงที่ โดนัล ทรัมป์ จะตั้งข้อสงสัยต่อผลการเลือกตั้งและฟ้องศาลกรณีที่ผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีพ่ายคะแนนมหาชนแต่กลับได้รับเลือกเป็นผู้นำสหรัฐฯ

เคยเกิดมาหลายครั้งแล้ว อย่างการเลือกตั้งในปี 2000 ซึ่งนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช จากรีพับลิกันได้คะแนนมหาชน 50,456,002 เสียง ในขณะที่นายอัล กอร์ จากเดโมแครตได้ 50,999,897 เสียง แต่คะแนนเสียงจากคณะเลือกตั้งอยู่ที่ 271 ต่อ 266 เสียง หรือ โดนัลด์ ทรัมป์ คือ ผู้ชนะการเลือกตั้งในปี ค.ศ. 2016 เพราะได้คะแนนเสียงจากระบบ Electoral College (EC) เกินกว่ากึ่งหนึ่ง หรือ 270 คะแนน ทั้งๆ ที่คะแนนเสียงเลือกตั้งของประชาชน (Popular Vote) นั้นน้อยกว่านางฮิลลารี คลินตัน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อไปอีกว่า หากมีความวุ่นวายในเรื่องผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ตลาดทองคำ ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้ง ตลาดตราสารหนี้พันธบัตรอาจกลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และทิศทางราคาทองคำอาจกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งหนึ่งหากมีความวุ่นวายหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ

ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศไทยขณะนี้ การกระเตื้องขึ้นของเศรษฐกิจช่วงสองเดือนสุดท้ายจะสะดุดลงอย่างรุนแรงด้วยการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน และการใช้กำลังสลายการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยอันสงบ (หากเกิดขึ้นอีก) หรือ การเข้าจับกุมแกนนำผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนอย่างแจ้งชัด การลงทุนในตลาดการเงินและค่าเงินบาทจะมีความผันผวนอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เหลือของปี         

การชุมนุมแบบ Flash mob ไม่ได้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจเลย เพราะไม่ยืดเยื้อ ไม่มีการปิดถนน ไม่มีการปิดสถานที่ราชการหรือย่านทางธุรกิจ เพียงมาแสดงจุดยืนทางการเมืองของประชาชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นเยาวชนแล้วก็แยกย้ายกลับบ้านด้วยความสงบเรียบร้อย แต่การปิดถนน ปิดการขนส่งสาธารณะ ปิดพื้นที่เกิดจากอำนาจของ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน การห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คนก็ได้รับการเตือนจากองค์การสหประชาชาติว่าละเมิดต่อหลักพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษยชนและไม่อาจบังคับใช้ได้จากการทำอารยะขัดขืนของมวลชนต่อการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

การประกาศ พรก ฉุกเฉินทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเกิดความลำบากใจในการปฏิบัติงานและเป็นการทำลายระบบนิติรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีมโนธรรมถูกบังคับโดย พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ให้ต้องจำใจสลายการชุมนุมเพราะต้องทำตามอำนาจ พรก ฉุกเฉิน จึงเป็นกลุ่มคนที่น่าเห็นใจ ขอให้ทุกฝ่ายเคารพเจตจำนงและการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน และประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ รวมถึงกลุ่มบุคคลใดๆ ที่สนับสนุนให้เกิดความรุนแรงขึ้น สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ เป็นสิทธิโดยชอบตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เจ้าหน้าที่รัฐมีหน้าที่ในการให้หลักประกันและคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้ชุมนุมและงดใช้มาตรการรุนแรงในทุกรูปแบบ

ฉะนั้นจึงควรยกเลิก พรก ฉุกเฉินโดยพลัน แล้ว ศาลควรให้ แกนนำผู้ชุมนุมอันประกอบไปด้วย คณะประชาชนปลดแอกก็ดี กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์เพื่อการชุมนุมก็ดี กลุ่มคณะราษฎร 2563 ก็ดีได้รับการประกันตัว เมื่อได้รับการประกันตัวแล้ว รัฐบาลสามารถขอความร่วมมือให้ยุติการชุมนุมชั่วคราว แล้วเปิดการเจรจาหารือสานเสวนาเพื่อหาทางออกของบ้านเมืองร่วมกัน ผลกระทบทางเศรษฐกิจและภาคการลงทุนจะลดลงทันที เนื่องจากศักยภาพและปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยนั้นมีจุดแข็ง คือ

เป็นประเทศที่มีการติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) ต่ำมาก และจะมีโอกาสทางเศรษฐกิจและการลงทุนอีกมากในอนาคต หากเราสามารถร่วมกันเปลี่ยนแปลงให้ประเทศเปลี่ยนผ่านจาก ระบอบ คสช หรือ ระบอบกึ่งเผด็จการ สู่ระบอบประชาธิปไตยอันมี “กษัตริย์” เป็นประมุข ได้อย่างสันติจะเป็นผลดีกับคนไทยทุกคน ไม่มีประชาชนในประเทศนี้คนใด “ชังชาติ” หรือ ต้องการ “ล้มเจ้า” อย่างที่พยายามใส่ร้ายป้ายสีกันด้วยปฏิบัติการ IO ที่ใช้เงินภาษีประชาชน

หน่วยงานของรัฐต้องหยุดปฏิบัติการดังกล่าว และ หากท่านยังปฏิบัติการ IO สร้างความเกลียดชังหรือส่งเสริมกลุ่มต่างๆที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวต่อไป หน่วยงานของรัฐพึงสำนึกว่า ท่านกำลังทำลายประเทศของเราและทำร้ายประชาชน สร้างความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจต่อชาวบ้าน สร้างความเสี่ยงและความไร้เสถียรภาพให้กับนักลงทุนและผู้ประกอบการ การสร้างความเกลียดชังกันในหมู่ประชาชน ทำลายความสงบสมานฉันท์ของคนในชาติ จะนำไปสู่สถานการณ์ลุกลามบานปลายรุนแรงขัดแย้งเพิ่มขึ้นในอนาคตได้ และ ยากที่จะควบคุมเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของอารมณ์แห่งความเกลียดชัง ขอให้นึกถึงบทเรียนที่เกิดขึ้นในอดีตของไทย ไม่ว่า กรณี 6 ตุลา 19 ก็ดี ไม่ว่า กรณีเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 35 และ 53 ก็ดี หรือ บทเรียนในต่างประเทศ เช่น ในรวันดา ในเขมร ก็ดี 

“เราอันประกอบไปด้วย รัฐบาล สมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล สมาชิกวุฒิสภา ผู้ชุมนุม ประชาชนทุกคน สามารถร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศเปลี่ยนผ่านจาก ระบอบ คสช สู่ระบอบประชาธิปไตยอันมี กษัตริย์ เป็นประมุขได้ด้วยการผลักดันให้เกิดการประชุมวิสามัญและให้มีการผ่านร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับรวมทั้งร่างของ iLaw ในขั้นรับหลักการ แล้ว ให้มีการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ในวาระสามเปิดให้มีการเลือกตั้ง สสร เพื่อร่างรัฐธรรมนูญและวางกรอบยุทธศาสตร์รวมทั้งแนวทางการปฏิรูปประเทศ หลังจากนั้นจัดให้มีการทำประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี” 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

“อนุสรณ์” ชี้ Yield Curve Control-ดอกเบี้ย 0% จำเป็นมากขึ้น

“อนุสรณ์” แนะมาตรการ “คนละครึ่ง” ควรให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 1 แสนต่อปี

“อนุสรณ์” แนะยกเลิกหนี้ครัวเรือนบางส่วน