คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายปิยะบุตร แสงกนกกุล (ก่อนจะพ้นส.ส.) เป็นประธาน ได้จัดทำรายงานการพิจารณาศึกษาการปฏิบัติตามกฎหมายของโครงการก่อสร้างทางรถไฟยกระดับ และถนนยกระดับในเขตกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (โฮปเวลล์) พร้อมข้อสังเกตสำคัญ ข้อสังเกตด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการ และได้มีการบรรจุเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
ในรายงานฉบับนี้ ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการฯ ได้ชี้ข้อพิรุธ และสิ่งที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายหลายประการ อาทิ
1.จุดเริ่มต้นโครงการไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
2.บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง จำกัด (ฮ่องกง) ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการโฮปเวลล์โดยไม่ชอบ
3.คณะรัฐมนตรีไม่เคยมีมติอนุมัติให้ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง จำกัด (ฮ่องกง) และ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นการบังคับใช้หลักเกณฑ์ของประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515
4.การรับจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ เป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย
5.การลงนามในสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ของกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และมีผลเป็นโมฆะมาตั้งแต่วันลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2533
6.การปฏิบัติผิดสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ ของ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) และการดำเนินการบอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์
7.เหตุผลในการบอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ถูกเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหตุให้ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ใช้เป็นเหตุตามกฎหมายในการเรียกร้องเงินจากภาครัฐ
8.ผลทางกฎหมายระหว่างการบอกเลิกสัญญาสัมปทานด้วยเหตุที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ปฏิบัติผิดสัญญา กับการบอกเลิกสัญญาตามกระบวนการของกฎหมายตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
9.การยื่นเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการของ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) เป็นการใช้สิทธิเมื่อขาดอายุความแล้ว
10.การดำเนินการโครงการโฮปเวลล์ไม่เป็นไปตามมติครม.วันที่ 19 กันยายน 2532 มาแต่ต้น
11.บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ไม่ใช่บริษัทที่ได้รับการเลือกจากคณะกรรมการดำเนินโครงการฯ และจากกระทรวงคมนาคมให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการโฮปเวลล์
12.บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง จำกัด (ฮ่องกง) เป็นนิติบุคคลต่างด้าว และไม่เคยได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ประกอบธุรกิจ “ขนส่งทางบก” ตามบัญชี “ข” ท้ายประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 มาก่อน จึงไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยื่นข้อเสนอเข้าทำโครงการโฮปเวลล์
13.การเสนอเงื่อนไขดำเนินโครงการโฮปเวลล์ของ บริษัท โฮปเวลล์ โฮลดิ้ง จำกัด (ฮ่องกง) เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2533 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ขัดต่อระเบียบราชการและเป็นการกระทำที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การกระทำดังกล่าวและการดำเนินการอื่นๆ ต่อมา จึงเป็นโมฆะทั้งหมด
14.โครงการโฮปเวลล์เป็นโครงการของรัฐบาล ความรับผิดชอบในโครงการโฮปเวลล์จึงเป็นของรัฐบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“นิติธร” คัดค้านจ่ายค่าโง่โฮปเวลล์ 2.4 หมื่นล้าน
ค่าโง่หมื่นล้านโฮปเวลล์ หล่นในมือ ‘เสี่ย อ.’
15.การจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงเป็นโมฆะมาแต่ต้น บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จึงไม่เคยมีสภาพเป็นนิติบุคคลนับแต่วันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 ซึ่งเป็นวันจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเป็นต้นมา การดำเนินการต่างๆ ของ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จึงเป็นโมฆะทั้งหมด
16.สัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ที่ลงนามระหว่างกระทรวงคมนาคมและการรถไฟแห่งประเทศไทย กับ บริษัท โฮป เวลล์ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นการกระทำที่มิชอบและเป็นโมฆะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
17.การที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นโดยไม่ชอบด้วยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 และเป็นโมฆะมาตั้งแต่วันจดทะเบียนจัดตั้งวันที่ 5 พฤศจิกายน 2533 แล้ว บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จึงไม่มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยและไม่มีอำานาจทำนิติกรรม หรือกระทำการใดๆ ได้ตามกฎหมาย การกระทำต่างๆ ที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) กระทำไป
รวมทั้งการยื่นเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ และการยื่นฟ้องกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ต่อศาลปกครองสูงสุด รวมทั้ง ผลที่เกิดจากการกระทำต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งรวมทั้งคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ และคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จึงเป็นโมฆะและไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
18.บริษัท โฮปเวลล์ (ประ เทศไทย) ไม่ใช่นิติบุคคลต่างด้าวที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นโดยถูกต้องตามกฎหมายไทยมาแต่ต้น จึงไม่อาจใช้สิทธิตามพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้คนต่างด้าว ที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนประกอบธุรกิจตามบัญชี ข. พ.ศ. 2516 ได้ และพระราชกฤษฎีกาฯ ดังกล่าว ก็ไม่อาจมีผลทำให้การจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไทย และเป็นโมฆะมาแต่ต้น กลับมาเป็นการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทที่ถูกต้องตามกฎหมายไทยและไม่เป็นโมฆะย้อนหลังได้
19.การดำเนินการให้มีการเปลี่ยนแปลงเหตุบอกเลิกสัญญาสัมปทานโครงการโฮปเวลล์ กับ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ตามมติครม.วันที่ 20 มกราคม 2541 เป็นการกระทำที่เป็นพิรุธน่าสงสัย มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) และเป็นเหตุให้ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) ใช้เป็นข้ออ้างในการเรียกร้องและฟ้องร้องกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย จน เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ภาครัฐ สมควรที่จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ต่อไปโดยด่วน
20.การดำเนินการในชั้นอนุญาโตตุลาการมีพิรุธน่าสงสัย สมควรที่จะต้องสืบสวนสอบสวนขยายผลโดยหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไปโดยด่วน
21.จำนวนเงินค่าใช้จ่ายการก่อสร้างในโครงการโฮปเวลล์ที่ บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) เรียกร้องคืนจากกระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นจำนวน 14,700 ล้านบาท ที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้อำนาจชี้ขาดให้ชำระคืนเป็นจำนวนเงิน 9,000 ล้านบาทนั้น มีจำนวนเงินตามหลักฐานใบเสร็จรับเงินที่ถูกต้องเพียงประมาณ 1,732 ล้านบาท เท่านั้น
22.การดำเนินการในชั้นศาลปกครองสูงสุดมีข้อควรที่ต้องมีการตรวจสอบต่อไปโดยด่วน
และ 23.ข้อพิพาทกรณี โฮปเวลล์อาจเป็นกระบวนการและแผนการฉ้อฉลเพื่อให้ได้เงินจากภาครัฐโดยมิชอบ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3,606 หน้า 10 วันที่ 3 - 5 กันยายน 2563