เลือกตั้ง 2569 ศึก 3 สี “ส้ม-แดง-น้ำเงิน” ชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 33

19 ธ.ค. 2568 | 04:13 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 04:39 น.

เลือกตั้ง 2569 ศึก 3 สี “ส้ม-แดง-น้ำเงิน” ชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 33 : รายงานพิเศษ หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4159

KEY

POINTS

  • กกต. กำหนดวันเลือกตั้ง สส. เป็นวันที่ 8 ก.พ. 2569 ซึ่งถูกมองว่าเป็นศึกชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 33 ระหว่าง 3 ขั้วการเมืองหลัก คือ สีส้ม (พรรคประชาชน), สีแดง (พรรคเพื่อไทย) และ สีน้ำเงิน (พรรคภูมิใจไทย)
  • พรรคประชาชน  และ พรรคเพื่อไทย ได้เปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบ 3 รายชื่อแล้ว โดยชูประเด็นการปฏิรูปและนโยบายเศรษฐกิจ ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ยังไม่รีบเปิดตัว โดยใช้ผลงานของรัฐบาลเป็นจุดขายหลัก
  • แม้พรรคสีส้มจะมีกระแสคนรุ่นใหม่ และพรรคสีแดงมีฐานเสียงดั้งเดิมที่แข็งแกร่ง แต่พรรคภูมิใจไทย  มีความได้เปรียบในฐานะรัฐบาลรักษาการ และศูนย์รวมบ้านใหญ่ 

หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2568 เห็นชอบกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เป็นวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 บรรยากาศการเมืองไทยเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบทันที เกมชิงอำนาจถูกขยับพร้อมกันทั้งระบบ ตั้งแต่การจัดโครงสร้างเขตเลือกตั้ง ไปจนถึงการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองหลัก

การเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการแข่งขันช่วงชิงเสียงข้างมากในสภา แต่คือศึกชี้ชะตา “นายกรัฐมนตรี คนที่ 33” ของประเทศไทย ภายใต้สมรภูมิการเมือง “3 สี” ที่ชัดเจนยิ่งกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา “ส้ม - แดง - น้ำเงิน”

กกต.ปรับเขต-ขยับ สส. 4 จว.

ความเคลื่อนไหวสำคัญหลังเคาะวันเลือกตั้ง คือ การที่ กกต.เผยแพร่ประกาศจำนวน 6 ฉบับ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2568 โดยหนึ่งในนั้น คือ การกำหนดจำนวน สส.แบบแบ่งเขตพึงมีของแต่ละจังหวัด ซึ่งใช้สูตรคำนวณตามจำนวนประชากรล่าสุด 

ผลการคำนวณพบว่า มี 4 จังหวัดที่จำนวน สส.เปลี่ยนแปลง โดยจังหวัดที่ จำนวน สส.ลดลง ได้แก่ นครศรีธรรมราช จากเดิม 10 คน เหลือ 9 คน, ลพบุรี จาก 5 คน เหลือ 4 คน 

 

จังหวัดที่ จำนวน สส.เพิ่มขึ้น ได้แก่ ปทุมธานี จาก 7 คน เพิ่มเป็น 8 คน, สมุทรสาคร จาก 3 คน เพิ่มเป็น 4 คน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แม้ดูเป็นเพียงตัวเลข แต่ในทางการเมืองหมายถึงการ “จัดสมดุลอำนาจใหม่” โดยเฉพาะพื้นที่ปริมณฑลที่ถูกจับตาว่าเป็นสมรภูมิชี้ขาดระหว่างพรรคใหญ่

“ค่ายส้ม”ประเดิมเปิด 3 นายกฯ 

ค่ายสีส้ม “พรรคประชาชน” ขยับเกมเร็วกว่าคู่แข่ง กลายเป็นพรรคแรกที่ประกาศ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีครบทั้ง 3 รายชื่ออย่างเป็นทางการ ส่งสัญญาณเตรียมรบเต็มรูปแบบในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 

โดยรายชื่อผู้ถูกเสนอชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประกอบด้วย

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน วางตัวเป็น “แม่ทัพใหญ่” ภาพลักษณ์ผู้นำการเมืองรุ่นใหม่ ชูวาระปฏิรูปโครงสร้างรัฐและเศรษฐกิจ

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคสายเศรษฐกิจ ผู้คร่ำหวอดในสภา ถูกมองเป็นจุดแข็งด้านนโยบายการคลังและการบริหารประเทศ

วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร นักเศรษฐศาสตร์-นักนโยบาย ที่พรรคดึงขึ้นมาเสริมมิติ “ความเชี่ยวชาญเชิงเทคนิค” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อชนชั้นกลางและภาคธุรกิจ 

ด้วยกลยุทธ์ที่เน้นการสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและการปฏิรูปโครงสร้าง ภายใต้สโลแกน “ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก” โดยเน้นการ กำจัดทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อลดการผูกขาด และการตั้งศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน

“อนุทิน”ไม่รีบเปิดไพ่นายกฯ

ฝั่งรัฐบาลรักษาการ พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เลือกใช้ยุทธศาสตร์ “นิ่งแต่ไม่ช้า” ต่อการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า ยังมีเวลา ไม่จำเป็นต้องรีบ พร้อมยอมรับว่าขณะนี้มีผู้ตอบรับเป็นแคนดิเดตเพียง 1 ราย ส่วนกระแสข่าวการทาบทาม นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เข้ามาเป็นหนึ่งใน 3 แคนดิเดตนั้น ยังอยู่ระหว่างการพูดคุย

ต่อคำถามเรื่องเป้าหมาย 200 ที่นั่ง นายอนุทิน หัวเราะ ก่อนย้ำว่า ไม่ใช่ตัวเลขที่ตนพูด และย้ำจุดขายของพรรคคือ “ผลงานรัฐบาล” โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และ ภาพลักษณ์ประเทศในเวทีโลก

ท่าทีของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย สะท้อนความมั่นใจในฐานะ “ผู้ครองอำนาจรัฐ” แต่ก็หลีกเลี่ยงการเปิดเกมเร็ว ท่ามกลางเสียงวิจารณ์กรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่ง นายอนุทิน ยืนยันชัด ไม่เคยและจะไม่ใช้ความมั่นคงของชาติเป็นเครื่องมือทางการเมือง

แดงชู“ยศชนัน”เบอร์ 1 นายกฯ 

ตรงข้ามกับภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยเลือกเปิดเกมรุกเต็มตัว จัดเวทีใหญ่ “ยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้” พร้อมเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ครบ 3 ราย ได้แก่

1.นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์

2.นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค

3.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ

พร้อมชูนโยบายเร่งด่วน อาทิ หวยเกษียณ, ล้างหนี้-พักหนี้เกษตรกร 3 ปี วงเงินไม่เกิน 5 แสนบาท, รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย,โครงการบ้านเพื่อคนไทย

โดยเฉพาะ “ยศชนัน” ถูกวางบทบาทเป็นแคนดิเดตรุ่นใหม่ ที่พยายามสื่อสารภาพผู้นำซึ่ง “ตัดสินใจอิสระ” และไม่ถูกครอบงำ พร้อมย้ำบทเรียนจากอดีตว่า ก่อนมาเป็นพรรคเพื่อไทย เคยผ่านการยุบพรรคและรัฐประหารมาแล้ว แต่ยังสามารถกลับมาชนะการเลือกตั้งได้เสมอ 

นายกฯ คนที่ 33 เป็นใคร?

เมื่อพิจารณาภาพรวม สนามเลือกตั้ง 2569 คือการเผชิญหน้าของ

สีส้ม : กระแสการเปลี่ยนแปลงและคนรุ่นใหม่

สีแดง : ฐานเสียงดั้งเดิม + นโยบายเศรษฐกิจ

สีน้ำเงิน : อำนาจรัฐ ผลงานรัฐบาล และเครือข่ายบ้านใหญ่

ชัยชนะไม่ได้วัดกันแค่จำนวน สส. แต่รวมถึงสมการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 จึงไม่ใช่เพียงวันหย่อนบัตร แต่คือวันตัดสินทิศทางประเทศ และคำตอบสุดท้ายว่า ใครจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 33 ของประเทศไทย

                          เลือกตั้ง 2569 ศึก 3 สี “ส้ม-แดง-น้ำเงิน” ชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 33 ​​​​​​​
 

ศึก 3 สี ใคร“ได้เปรียบ-เสียเปรียบ”  

เมื่อสนามเลือกตั้งปี 2569 เปิดอย่างเป็นทางการ ภาพการแข่งขันไม่ได้เป็นเพียงการวัดกระแสนิยมรายพรรค หากแต่เป็นการปะทะกันของ 3 โมเดลการเมือง ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งฐานเสียง วิธีหาเสียง และศักยภาพจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 

พรรคภูมิใจไทย (ค่ายน้ำเงิน) : จุดได้เปรียบ คือ อยู่ในสถานะรัฐบาลรักษาการ มีความได้เปรียบด้านการบริหาร ภาพลักษณ์ความต่อเนื่อง และการเข้าถึงกลไกรัฐ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการเลือกตั้งระดับพื้นที่

เครือข่ายท้องถิ่นแน่น บ้านใหญ่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และฐานเสียงระดับจังหวัด ยังเป็นแต้มต่อสำคัญ โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคกลางตอนบน

ภาพผู้นำมั่นคงในภาวะวิกฤติ ท่ามกลางสถานการณ์ชายแดนและความตึงเครียดด้านความมั่นคง นายอนุทิน ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ “คุมเกมได้” ซึ่งอาจดึงคะแนนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยม และผู้ต้องการเสถียรภาพ

จุดเสียเปรียบพรรคภูมิใจไทย แบกรับต้นทุนรัฐบาล ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง ค่าครองชีพ และความไม่พอใจสะสม อาจถูกเทคะแนนลงที่พรรคแกนนำรัฐบาล 

กระแสชาตินิยมสองคม หากถูกมองว่า “เล่นกับความมั่นคง” แม้เพียงในเชิงภาพลักษณ์ อาจย้อนศรอย่างรุนแรง

สรุป : พรรคภูมิใจไทย ได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง แต่ยังไม่ปลอดภัยในการจัดตั้งรัฐบาล หากไม่ได้ที่หนึ่ง 

พรรคเพื่อไทย (ค่ายแดง) :  จุดได้เปรียบ ฐานเสียงใหญ่สุดยังคงอยู่ ยังคงเป็นพรรคที่มีฐานเสียงแข็งแรงในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจน ชุดนโยบายล้างหนี้-พักหนี้-รถไฟฟ้า 20 บาท ตอบโจทย์เศรษฐกิจปากท้องในช่วงที่ประชาชนอ่อนล้า

การเปิด 3 แคนดิเดตนายกฯ ลดแรงเสียดทานภายใน การกระจายบทบาทช่วยลดแรงกดดันตัวบุคคล และเปิดพื้นที่ต่อรองทางการเมืองหลังเลือกตั้ง

จุดเสียเปรียบ ภาพจำอำนาจเดิมยังตามหลอน แม้พยายามสื่อสารเรื่อง “การตัดสินใจอิสระ” แต่คำถามเรื่องการครอบงำยังเป็นจุดอ่อนเชิงภาพลักษณ์ 

เกมจัดตั้งรัฐบาลยาก หากไม่ได้เสียงข้างมากที่สุด เพื่อไทยอาจเผชิญกำแพงจากพรรคอนุรักษ์นิยมในการรวมเสียง

สรุป : เพื่อไทยมีลุ้นชนะเลือกตั้ง แต่ไม่การันตีที่ 1 ที่ 2 ที่จะได้เป็นรัฐบาล หากสมการหลังเลือกตั้งไม่ลงตัว 

พรรคประชาชน (ค่ายส้ม) : จุดได้เปรียบ กระแสคนรุ่นใหม่ยังแข็งแรง ยังเป็นเจ้าของ narrative การเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ และกลุ่ม First Voter

ภาพลักษณ์ใหม่ ไม่แบกภาระอดีต ไม่ต้องรับผิดชอบความล้มเหลวของรัฐบาลก่อนหน้า ทำให้วิจารณ์ได้เต็มที่

จุดเสียเปรียบ เครือข่ายพื้นที่ยังจำกัด ในสนามเขตเลือกตั้ง พรรคยังเสียเปรียบพรรคบ้านใหญ่ โอกาสเป็นนายกฯ ต่ำที่สุดใน 3 สี แม้คะแนนพุ่ง หากไม่ถึง 250 ที่นั่ง โอกาสรวบรวมเสียงข้ามขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาลยังเป็นโจทย์ยาก 

สรุป : พรรคประชาชนอาจ “ชนะเชิงคะแนนนิยม” แต่ยังห่างไกลเก้าอี้นายกฯ

บทสรุปสุดท้าย:  ใครได้เปรียบที่สุด? ถ้าวัด “โอกาสได้เป็นนายกฯ คนที่ 33” ภูมิใจไทย ยังได้เปรียบมีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล  

ศึกเลือกตั้ง 2569 จึงอาจไม่ได้แค่จบในคูหา แต่จะตัดสินกันอีกครั้งบนโต๊ะเจรจาจัดตั้งรัฐบาล... 

รายงานพิเศษ โดยทีมข่าวการเมือง หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 4159