30 มิถุนายน 2563 การประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) วันนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จะเสนอให้ที่ประชุมขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 30 มิถุนายน 2563 ออกไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือน กรกฎาคม 2563 ท่ามกลางเสียงคัดค้านของกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้เหตุผลในการต่ออายุพรก.ฉุกเฉินว่า แม้สถานการณ์ในประเทศจะดีขึ้น ผ่านมาตรการควบคุม ดูแลของรัฐบาล แต่ทั่วโลกยังมีปัญหาตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก ขอให้ประชาชนเข้าใจเจตนาของรัฐบาลที่ไม่ได้มีข้ออ้างในการใช้ พรก.ฉุกเฉิน เพื่อวัตถุประสงค์อื่น มีเพียงความจำเป็นเพื่อการป้องกัน ควบคุมโรค ไม่ให้มีการแพร่ระบาดกลับเข้ามาใหม่
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
อัพเดท "พรก.ฉุกเฉิน" ยังห้ามทำอะไรบ้าง ฝ่าฝืนมีโทษอย่างไร ตรวจสอบที่นี่
ศบค.เคาะต่อ "พรก.ฉุกเฉิน" ถึงสิ้นก.ค. คลายล็อกเฟส 5 เปิดกิจการเสี่ยงสูง1ก.ค.นี้
เปิดรายละเอียด "คลายล็อก เฟส 5" 1 ก.ค.เปิด ผับ-บาร์-ร้านเกม-อาบอบนวด
ศบค. เคาะ "คลายล็อกเฟส 5" เปิด9จุดผ่านแดน ขนส่งสินค้า
ศบค. "คลายล็อก เฟส 5" อนุญาตชาวต่างชาติ6กลุ่มเข้าไทย
ขณะที่พรรคเพื่อไทย(พท.) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านได้แถลงคัดค้านการต่ออายุพรก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน โดย คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ระบุว่าการต่อพรก.ฉุกเฉินจะสร้างความไม่มั่นใจในการค้าการลงทุน เพราะตราบใดที่ยังคงพ.ร.กฉุกเฉินอยู่ การใช้งบประมาณต้องเป็นวิธีพิเศษ เกรงว่าจะใช้เป็นข้ออ้างในการหาประโยชน์ ในใช้งบประมาณ
เช่นเดียวกันเครือข่าย People Go Network นำโดย นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ เครือข่ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล สหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย นายจำนงค์ หนูพันธ์ ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 และนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักกิจกรรมทางการเมืองได้ชุมนุมชุมนุมเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2563 พร้อมยื่นหนังสือให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน โดยเสนอให้รัฐบาลป้องกันและควบคุมโรคระบาดตามพ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อที่มีอยู่แทนพรก.ฉุกเฉิน
ขณะเดียวกันได้เรียกร้องให้ครม. ยุติการใช้อำนาจตาม พรก.ทันทีและในการประชุมครม.ในวันที่ 30 มิ.ย. เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ขอให้สาธารณชนเข้าสังเกตการณ์หรือจะถ่ายทอดสดการประชุมเพื่อให้ประชาชนติดตามและร่วมรับรู้เหตุผลในการตัดสินใจด้วย
ขณะที่พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ชี้แจงว่า การใช้พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อมาดูแลแล้ว ยังไม่เพียงพอเพราะพ.ร.บ.โรคติดต่อเหมาะกับใช้ในการแก้ปัญหากรณีมีการแพร่ระบาด แตกต่างจากพรก.ฉุกเฉิน ที่ใช้สำหรับการป้องกัน สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ต้องใช้ ตำรวจ และทหารเข้าไปร่วมด้วย หากมีกฎหมายไหนที่ใช้ได้ดีกว่า พรก.ฉุกเฉิน ก็ขอให้บอกมาจะได้นำไปพิจารณา
แต่อยากบอกว่าอย่ารังเกียจรังงอนกับ พรก.ฉุกเฉิน นักเลย ตั้งแต่ยกเลิกเคอร์ฟิว สำหรับประชาชนทั่วไป กฎหมายนี้ไม่ได้ไปริดรอนสิทธิเสรีภาพใคร รัฐบาลไม่ได้ใช้ในเรื่องการเมือง จะเห็นจากวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมามีการชุมชุมเคลื่อนไหวการเมืองหลายพื้นที่ ก็ไม่ได้นำพรก.ฉุกเฉินไปจับกุมหรือควบคุมใคร
ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีที่ฝ่ายค้านและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองมองว่า การขยายเวลา"พ.ร.ก.ฉุกเฉิน" ต่อไปอีก 1 เดือน มีนัยทางการเมือง ว่า “ไม่เป็นไร ก็เป็นอย่างนี้กันทั่วโลก หลายกลุ่มก็มีการออกมาคัดค้าน เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ดีเป็นการเตือนสติให้รัฐบาลจะได้คิด”
จากการตรวจสอบของ "ฐานเศรษฐกิจ" พบว่า หากครม.มีมติให้ขยายระยะเวลาการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินออกไปอีก 1 เดือน ยังมีข้อห้ามข้อกำหนดตามพรก.ฉุกเฉินที่สำคัญยังไม่ได้รับการผ่อนปรน มีดังนี้
นั่นหมายความว่าผู้ที่ฝ่าฝืนข้อห้ามที่ยังไม่ได้รับการผ่อนคลาย ผ่อนปรนล็อกดาวน์ จะมีโทษตามมาตรา 18 แห่งพรก.ฉุกเฉิน จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจมีความผิดตามมาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ หรือมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 7 ปีหรือปรับไม่เกิน140,000หรือทั้งจําทั้งปรับ แล้วแต่กรณี เพราะบทกำหนดโทษดังกล่าวยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง
อีกคำสั่งที่สำคัญหลังรัฐบาลประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน คือ ประกาศเรื่องการกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี ตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี มีสาระสำคัญคือ โอนอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมาย 40 ฉบับ มาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือ ฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงประกาศฉบับดังกล่าว ทำให้การใช้อำนาจตามกฎหมายทั้ง 40 ฉบับ ยังเป็นของนายกรัฐมนตรี