สู้กันยาว 3 ศาล พิษ‘ธนาธร’ ถือหุ้นสื่อ เดิมพัน‘คุก-ถอนสิทธิ20ปี’

15 มี.ค. 2563 | 10:20 น.

 

หลังจากสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ สิ้นสุดลง เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยที่ 14 /2562 ว่า สมาชิกภาพส.ส.ของนายธนาธร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) เนื่องจากเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท 
วี - ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ในวันที่พรรคอนาคตใหม่ ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562

ดาบแรก “ศาลรัฐธรรมนูญ”  วินิจฉัยให้พ้นสภาพส.ส.

ดาบ 2 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับ นายธนาธร ตามมา

โดยวันที่ 11 มีนาคม 2563 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ออกเอกสารชี้แจงกรณีการดำเนินคดีอาญากับนายธนาธร ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2563 กกต.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงพยานหลักฐานและพฤติการณ์ใน
สำนวนการไต่สวน ประกอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องดังกล่าวแล้ว เห็นว่า นายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2562 โดยเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อต่อ กกต. อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.

“นายธนาธร รู้อยู่แล้วว่า ตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ อันเป็น การฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 มาตรา 151 จึงมีมติให้สำนักงานกกต.ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป” สำนักงาน กกต.ระบุ

ทั้งนี้ กกต.ได้มีมติให้สำนักงานกกต. ไปดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจทุ่งสองห้อง ให้ดำเนินคดีอาญากับ นายธนาธร ในความผิดตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 2561 ซึ่งอัตราโทษตามมาตรา 151 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

 

สู้กันยาว 3 ศาล  พิษ‘ธนาธร’ ถือหุ้นสื่อ  เดิมพัน‘คุก-ถอนสิทธิ20ปี’

 


 

มีรายงานว่า ในการพิจารณาดำเนินคดีอาญากับ นายธนาธร นั้น กกต.ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมพิจารณาไม่น้อย
กว่า 3 ครั้ง แต่ที่ประชุมกกต.ได้ให้ทางสำนักงาน กกต.นำเรื่องดังกล่าวไปปรับปรุงให้รอบคอบ เนื่องจากเห็นว่าการจะดำเนินคดีอาญากับนายธนาธร แตกต่างจากคดีตัดสิทธิทางการเมืองที่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะคดีอาญานั้นต้องมีข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงเจตนาว่า ขณะที่นายธนาธร ยื่นลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ระบบบัญชี
รายชื่อ พรรคอนาคตใหม่นั้น นายธนาธร รู้ว่าตนมีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิสมัครตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) แต่ยังคงสมัคร พยานหลักฐานประกอบจึงต้องมีนํ้าหนัก เพราะการสู้คดีก็ต้องสู้กันถึง 3 ศาล

สำหรับการแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนจากเหตุนี้ ไม่ใช่นายธนาธร เป็นคนแรกที่กกต.ดำเนินการ โดยก่อนหน้านี้ผู้สมัครส.ส. ที่กกต.มีคำวินิจฉัยว่ารู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เพราะมีลักษณะต้องห้าม เช่น สังกัดพรรคการเมืองใด พรรค การเมืองเดียว ไม่ถึง 90 วัน จนถึงวันเลือกตั้ง กกต.ก็มอบให้สำนักงานกกต. ไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สน.ทุ่งสองห้อง เช่นเดียวกัน

เมื่อคำร้องทุกข์จาก กกต.ถึงมือพนักงานสอบสวนแล้ว พนักงานสอบสวนจะต้องทำสำนวนยื่นฟ้องต่อศาลอาญาปกติ

คาดว่าหากมีการต่อสู้กันถึง 3 ศาล คงจะใช้เวลาราว 1-2 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น

และผลที่จะออกมา หากเป็นความผิดจริง ก็ไม่ได้หมาย ความว่า นายธนาธร จะต้องติดคุกเสมอไป ศาลอาจจะสั่ง “รอลงอาญา” ในกรณีติดคุกก็ได้ และลงโทษเฉพาะเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง หรืออาจจะเจอทั้ง “ติดคุก-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง” ก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่ง...

 

เอาจริงๆ

ก็ไม่อยากเข้าคุก

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ไปบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เมื่อพรรคอนาคตใหม่เป็นอดีต:อะไรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายค้านต่อไป”

ช่วงหนึ่ง นายธนาธร ตอบคำถามที่ว่าหากต้องเข้าเรือนจำ ว่า “เอาจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าคุก เพราะลูกชายคนเล็กสุดอายุแค่ 15 เดือนและยังอยากดูลูกเติบโตต่อไป แต่หากต้องเข้าจริงๆ ก็ยืนยันว่าจะไม่หนี”

ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2562 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานะส.ส.จากกรณีถือหุ้นสื่อ ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 กรณีถ้าถูกจำคุกจะหนีหรือไม่ ว่า “จับผมเลย ผมตั้งพรรคขึ้นมารู้ว่าจุดจบเป็นอย่างไร มีโอกาสติดคุกแน่นอน นี่คือการต่อสู้กับเผด็จการ ถ้าผมไม่ทำก็ไม่สามารถบอกตัวเองหรือสบตากับคนรุ่นหลังได้ว่าในช่วงวิกฤติ คนที่มีสถานะอย่างผมทำอะไรอยู่ สังคมต้องการเห็นคนที่ลุกขึ้นมาท้าทาย ต้องยอมรับว่าอำนาจอยู่ที่คสช.ทุกอย่าง ดังนั้นโอกาสที่แม้จะมีไม่เยอะ เราก็พร้อมเสี่ยงเพราะเชื่อว่าอนาคตที่ดีกว่านี้ มันสวยงามพอที่จะต่อสู้”

 

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 40 ฉบับที่ 3,557 วันที่ 15-18 มีนาคม 2563